Open The Sky - Reflective and creative work by Ajahn Kalyano
  • Home
  • Artwork
    • Introduction
    • Art
    • DHAMMA POSTCARDS
  • Videos
  • Poetry & prose
  • Articles
  • Dhamma books
  • Talks
  • Latest
  • Other languages
    • Thai
    • Norsk
    • Italian (Link)

Direct Knowledge: ความรู้แจ้ง

16/6/2019

 

​Keeping The Thread: รักษาสายธารแห่งธรรม
Direct Knowledge: ความรู้แจ้ง

ในความเป็นจริง เป็นไปได้ที่มนุษย์จะมีมุมมองที่เที่ยงตรงต่อจิตใจ มากกว่ามุมมองที่มีต่อดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรืออื่นๆ
อาตมาอยากจะกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กับความรู้ด้านจิตวิญญาณสักเล็กน้อย

ในทางวิทยาศาสตร์ มีความรู้สองแบบที่แตกต่างกัน คือความรู้ที่เกิดจากความคิดเห็นของมนุษย์ปุถุชน  (Subjective Knowledge) และความรู้ที่เกิดจากผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ (Objective Knowledge) ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่นอกเหนือมุมมองของบุคคลใดบุคคลหนึ่งและมีจุดยืนที่เป็นอิสระ

ในทางวิทยาศาสตร์ ความรู้แบบที่ 2 ได้รับการยกย่องว่าเหนือกว่าแบบแรก แต่แนวโน้มเป็นไปได้มากที่จะมีอคติของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ซึ่งยากที่จะกำจัดให้หมดไป เช่น เมื่อเรามองดวงดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์ เพื่อทำแผนที่การเคลื่อนที่ของหมู่ดาว ซึ่งต้องใช้ดวงตามนุษย์มองผ่านกล้องโทรทรรศน์นั้น ความผิดพลาดจากมนุษย์จึงคืบคลานเข้ามา ความคิดเห็นส่วนตัวแทรกเข้ามา   วิทยาศาสตร์จึงไม่เคยเอาชนะข้อบกพร่องนี้หรือก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปสู่ความรู้ที่แท้จริง ที่อยู่เหนืออคติของมนุษย์ได้

แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะเห็นจิตใจตามความเป็นจริง เราจะมีมุมมองนั้นได้อย่างไร เพราะจิตใจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความคิดเห็นของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า  ในความเป็นจริง มนุษย์สามารถมีมุมมองที่เที่ยงตรงต่อจิตใจ มากกว่ามุมมองที่มีต่อดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรืออื่นๆ เราสามารถรู้สภาวะของจิตใจได้อย่างแจ่มชัดมากกว่าอย่างอื่น เราอาจคิดว่าเรารู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่แท้จริงแล้ว เรารู้จิตใจเรามากที่สุด ขอให้มั่นใจ

ถ้าเราสามารถเห็นสภาวะของจิตใจอย่างแจ่มชัด และแยกแยะมันได้ มันจะเกิดความสว่างขึ้นในใจ เราอาจอุทานขึ้นว่า "ใช่แล้ว..นั่นไง" และเราก็เริ่มมีความมั่นใจว่ามองเห็นสภาวะของจิตแบบหนึ่ง ซึ่งต่างกับอีกแบบหนึ่ง มันเป็นปัญญาญาณ (Intuition) ที่เกิดขึ้น

ไม่ใช่ปัญญาที่ลึกลับซับซ้อน แต่สว่างชัดมาก เราสามารถเห็นจิตที่เป็นกุศลและอกุศลเหมือนกับเป็นสัตว์คนละชนิดกัน ยิ่งปฏิบัติมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น  กุศลจิต มักจะเปิดกว้าง สว่างไสวและแจ่มชัด ขณะที่อกุศลจิตมักจะอัดแน่น มืดทึบ และห่อเหี่ยว

สภาวะจิตที่สว่างหรือมืด สงบหรือกระวนกระวาย จะแสดงให้เราเห็นได้อย่าง
แจ่มชัดในจิตใจ เราไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปสู่โลกแห่งศีลธรรมหรือโลกแห่งการตัดสินว่าถูกหรือผิด เพื่อจะเห็นผลของความคิด หรือการกระทำด้วยตัวเราเอง กุศลจิตจะนำไปสู่จิตใจที่เปิดกว้าง นิ่ง สงบ ราบเรียบ และสว่าง ขณะที่อกุศลจิตจะนำไปสู่ความเศร้าหมอง หงุดหงิด มืดมน น่ากลัวและลึกลับ คล้ายๆกับโลกมายากล หรือเวทมนตร์

จิตที่มืดมนจะถูกเปิดสู่ความสว่างด้วยกุศลจิต พลังแห่งคุณความดีเอาชนะความชั่วร้ายได้เสมอ เหมือนความสว่างที่ไล่ความมืดมน ไล่อกุศลออกไปจากจิตใจ จิตไม่ถูกล่อลวงหรือถูกปกคลุมด้วยหมอกควันของอกุศลจิต

เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆเราจะสังเกตว่าสามารถพูดถึงสภาวะของจิตตามความเป็นจริง โดยไม่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เราสามารถตระหนักรู้ถึงพลังมืดโดยไม่ให้ค่าว่าอยู่ข้างในหรือข้างนอกตัวเรา เราสามารถระลึกรู้ถึงมารหรือพายุอารมณ์ที่กำลังพาเราหลงทางไปทางใดทางหนึ่งด้วยใจที่เป็นกลาง ระลึกรู้ถึงควันมืดที่ปกคลุมจิตใจ ไม่ให้เราเห็นแจ้งในความจริง  และในทางตรงกันข้าม จิตที่สว่างจะทำให้เรากระจ่างชัดในความจริง และสามารถปัดเป่าความมืดมนออกไปได้

ในทางจิตวิทยาอาจกล่าวในทำนองว่ากิเลส หรือ อกุศลจิต เป็นเหมือนม่านหรือเกราะป้องกัน ที่คอยปกปิดไม่ให้เรารู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงความเป็นอนิจจังในตัวเรา ซึ่งมองดูเหมือนเป็นความหวังดี เพราะถ้าความตายเป็นเรื่องเศร้าหมอง เราอาจคิดว่า จิตของเราหวังดี พยายามซ่อนความจริงนี้ไว้ไม่ให้เราเป็นทุกข์ ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น จิตที่ผ่องแผ้วจะสามารถเปิดให้เราระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เป็นสัจธรรมว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา และจะไม่ปกปิดความจริงอันนี้ไว้

เป็นไปได้ที่บางทีพลังของอกุศลจิตเหมือนจะพยายามเกื้อกูลเรา ด้วยการซ่อนความจริงที่เรามักมองไม่เห็นหรือไม่ควรเห็นไว้ เพราะมันจะทำให้เราทุกข์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรารู้แจ้งในความจริงของกายว่าเป็นอนิจจัง มันกลับไม่ทำร้ายเรา แต่กลับจะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ 

เมื่อเราเริ่มเข้าใจตรงนี้ เราจะกระจ่างในกลลวงของสภาวะจิต ที่แท้จริงแล้วไม่ได้พยายามปกป้องเราจากสิ่งที่มันคิดว่าเราไม่สามารถรับมือได้ แต่กลับพยายามหลอกล่อเราให้มองเห็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง  ไม่ให้เห็นกระจ่างชัดในความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจังของร่างกาย หรือความตาย
การเห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่งดงาม บ่อยครั้งคนที่ถูกวินิจฉัยว่ารักษาโรคไม่ได้ ถ้าไม่ทำให้เขาสิ้นหวังไปเลย ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตใหม่ ด้วยการหันหน้าเข้าหาธรรมะ ใช้ชีวิตที่มีคุณค่ามากขึ้น และถ้าเขาตระหนักรู้ในความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจังได้ เขาจะเลิกกลัวความตายในที่สุด





อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​
​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai
​
​

Pain : ความเจ็บปวด

24/3/2019

 
​
" The mind can remain steady" : จิตใจสามารถคงสภาวะธรรมไว้ได้


อาตมาอยากจะเสนอข้อคิดบางอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติที่มีความเจ็บปวดเข้ามาเกี่ยวข้อง  โดยทั่วไป เราเรียนรู้ที่จะทนกับความเจ็บปวดที่ไม่มีผลร้ายต่อร่างกายได้ในขณะนั่งปฏิบัติ ยิ่งฝึกนานขึ้น เราก็จะสามารถทนต่อความไม่สบายทางกายได้มากขึ้น ซึ่งความเจ็บปวดเช่นนี้ ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย คนส่วนใหญ่มักจะแยกออกระหว่างความเจ็บปวดทั่วไปที่เกิดจากการนั่งนานๆ กับความเจ็บแปลบอย่างรุนแรงที่เป็นสัญญาณ
ของปัญหาข้อเข่าหรือหลังที่ตามมา

ส่วนหนึ่งของการปฏิบัติ คือการฝึกร่างกายให้ทนกับความเจ็บปวดที่ไม่มีผลเสียกับร่างกายได้ เมื่อร่างกายเราแข็งแกร่งขึ้น จิตใจก็จะมั่นคงขึ้นด้วย การฝึกฝนที่จะไม่หนีความยากลำบากจึงเป็นสิ่งที่ดีและมีเป็นประโยชน์

เราจะพบว่า เราควรเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตบ้างเพื่อให้รู้สึกอิสระ ไม่ติดกับดักความสบาย  เราใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิต เพื่อหาความสบายและหลีกเลี่ยงความยากลำบากไปมากเท่าไหร่แล้ว ถ้าเราหัดนั่งดูความเจ็บปวดบ้าง เราจะรู้ว่ามันไม่แย่อย่างที่คิด  โดยเฉพาะในกรณีที่เราสามารถแยกความรู้สึกทางกาย และความรู้สึกทางใจออกจากกันได้ โดยใช้สติและความรู้ตัวทั่วพร้อม

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราปวดเข่าในขณะที่นั่งปฏิบัติ แม้จะไม่อยากนั่งทนความเจ็บปวดนั้น แต่ในตอนแรก เราก็ต้องฝืนเอาบ้าง พอเราเริ่มให้ความสนใจไปที่เข่า และบริเวณรอบๆนั้น เราจะรู้สึกว่า มันถูกความเจ็บปวดครอบคลุมจนสั่นสะเทือน

เราเริ่มรับรู้สองสิ่งที่เกิดขึ้น และตระหนักว่าสองสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ใจเราเริ่มแยกมันออกจากกัน ขณะที่ความปวดทางกายชัดเจนขึ้นทุกที  ถ้าใจเราเริ่มขุ่นมัวเพราะความเจ็บปวดนั้น เราจะเห็นได้ทันทีว่า ใจเราหรืออารมณ์ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความเจ็บปวดทางกาย  สองสิ่งนี้แยกจากกันโดยเด็ดขาด เหมือนน้ำกับน้ำมันที่อยู่ในขวดเดียวกันแต่ไม่ปนกัน

บางครั้งความเจ็บปวดทางกายก็หายไป เมื่อเราแยกอารมณ์และความเจ็บปวดออกจากกัน  แต่บางครั้งมันก็ยังคงอยู่ แต่เรามีความอดทนมากขึ้น ความทุกข์จึงน้อยลง สังเกตว่า ความเจ็บปวดและความทุกข์ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน บางครั้งความเจ็บปวดมีมาก แต่เราทุกข์น้อย หรือบางครั้งความเจ็บปวดมีน้อยแต่เราทุกข์มาก ถ้าเรารู้ว่าความเจ็บปวดนั้นไม่ทำอันตรายกับเรา เราจะทุกข์กับมันน้อยลง ความเจ็บปวดเป็นสัญญาณที่บอกให้เราระวังไม่ให้ร่างกายเกิดการบาดเจ็บ ถ้าทันทีที่เราลุกขึ้นเดิน แล้วความเจ็บปวดหายไป ก็แสดงว่าความเจ็บปวดนั้น ไม่ได้ทำอันตรายต่อร่างกาย เราจึงควรฝึกที่จะทนมันให้ได้

เราสามารถฝึกจิตไม่ให้วุ่นวายกับสิ่งที่เป็นปกติดีอยู่ ถ้าเราทนกับความไม่สบายกายเช่นนี้ได้ เราก็สามารถทนกับสิ่งอื่นๆได้เช่นกัน ต่อไป เราก็รู้วิธีที่จะทนกับความไม่สบายใจได้ด้วยวิธีเดียวกัน ถามตัวเองว่า เราไปเพิ่มความทุกข์ในใจเหมือนที่เราทำกับกายหรือไม่  เราทำให้ใจเราทุกข์น้อยลงโดยวิธีที่ฉลาด หรือทำให้ทุกข์มากขึ้นโดยวิธีอื่น  ถ้าเรารู้ว่าเราเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเอง ก็ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง เพราะการที่เรารู้ตัวและมองเห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราจะหยุดทำสิ่งนั้นได้เอง

เมื่อเริ่มปฏิบัติใหม่ๆ ประสบการณ์ในตัวเราเองจะค่อนข้างสับสน เพราะเต็มไปด้วยความรู้สึกและความคิดปะปนเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นประสบการณ์เดียวกัน คือ "ฉันรู้สึกอย่างไร" ทุกอย่างจะสับสนปนเปไปหมด แยกไม่ออกว่าอะไรเป็นความเจ็บปวดทางร่างกาย และอะไรเป็นความเจ็บปวดทางใจ  หรือแยกอารมณ์กับร่างกายไม่ออก   บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่า ร่างกายคือกลุ่มก้อนของความรู้สึก เราจับตัวตนจริงๆของร่างกายไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนัก ท่าทางหรือการเคลื่อนไหวของมัน

เรามักจะลืมมุมมองด้านอื่น เพราะมัวแต่เพ่งอยู่กับความเจ็บปวดที่เราไปยึดมันไว้  แล้วทำให้มันแย่ขึ้นไปอีกโดยการรัดมันไว้แน่น  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปเพ่งอยู่กับความเจ็บปวด ถ้าใจเราเปิดรับมันเสีย มันคือก้าวแรกที่จะผ่อนคลายและวางความเจ็บปวดนั้นได้

จากประสบการณ์ของอาตมา ซึ่งผ่านความเจ็บปวดมามากมาย  เคยมีปัญหาเกี่ยวกับหลังและบาดเจ็บจากงานก่อสร้างและการใช้ร่างกายทำงานหนักมานานนับปี  อาตมาจึงสามารถพูดเรื่องนี้ได้จากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ใช่เป็นไอเดียที่ฟังคนอื่นมา

วิธีที่พูดถึงนี้ ได้ผลดีกับอาตมาและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อมีความเจ็บปวด  เมื่อใจเรานิ่งได้โดยการปฏิบัติภาวนา ใจเราก็สามารถคงสภาวะธรรมนั้นไว้ได้ ในเวลาที่เจ็บปวดเช่นกัน





อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai

​

Same System, Different Master: ระบบเดียวกัน ต่างต้นแบบ

24/3/2019

 

"It's the way we see things that forms our thoughts and emotions":  วิธีการมองสิ่งต่างๆ เป็นต้นแบบของอารมณ์และความคิดของเรา

เมื่อเราเริ่มปฏิบัติภาวนา และเรียนรู้ที่จะเข้ามาดูความคิดและอารมณ์ของตัวเอง บางครั้งเราก็เห็นดีด้วยกับการคิด บางครั้งเราก็ต่อต้าน คือถ้าเรามองว่าความคิดเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ เราจะเห็นว่าควรคิด  แต่ถ้าเราเชื่อว่าจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติภาวนา คือการไม่คิด เราก็จะต่อต้านมัน หรือไม่อยากคิดเอาเสียเลย

ในทำนองเดียวกันกับอารมณ์ของเรา เราจะมองว่ามันเป็นแหล่งที่มาของภูมิปัญญา หรือที่มาของความทุกข์ก็ได้ ดังนั้นเราอาจจะอยากเรียนรู้จากมันหรือหนีห่างจากมันก็ได้เช่นกัน
 
จะเห็นได้ว่า ใจเราเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และตลอดเวลาเมื่อดูจากความคิดและอารมณ์ของเรา บางครั้งก็ต่อต้าน บางครั้งก็อยากที่จะคิดและอยู่กับอารมณ์นั้นๆ ซึ่งอาจทําให้เกิดความสับสน เพราะแม้แต่อาจารย์ที่สอนเรา บางท่านก็ดูเหมือนจะชอบให้คิดหรืออยู่กับอารมณ์ บางท่านก็ต่อต้านมัน

พระพุทธเจ้าสอนว่าความคิดและอารมณ์ก็เป็นแค่กระบวนตอบสนองต่อสิ่งเร้าเท่านั้น เพราะมันถูกขับเคลื่อนด้วยอกุศลจิต คือโลภะ โทสะและโมหะ หรือ กุศลจิตที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง มาเกี่ยวข้อง แต่ก็ยังมีความคิดและอารมณ์เกิดขึ้นได้ ถึงแม้บางครั้งมันอาจจะแตกต่างไปจากความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตอนแรกๆ แต่ก็เป็นกระบวนการเดียวกัน ซึ่งอาจเรียกอย่างเปรียบเทียบได้ว่าเป็น "ระบบเดียวกัน ต่างต้นแบบ" ก็ได้

อาจมีบางครั้งที่ใจเรามีปัญญา ทำให้เกิดความฉลาดทางอารมณ์ แต่ในบางครั้งที่ใจเรามืดบอดก็ทำให้เกิดอารมณ์ที่ไม่ค่อยฉลาดนัก ทำนองเดียวกันกับความคิด ถ้าใจเรามีปัญญา ความคิดดีๆก็ตามมา ถ้าเบาปัญญา ความคิดก็อาจเป็นไปในทางที่ไม่ดีนัก เหล่านี้เป็นกระบวนการที่เป็นสัจธรรม แต่เรามักมองไม่เห็น หรือมองข้ามไป ทั้งๆที่มันเกิดขึ้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งมวล

วิธีการมองสิ่งต่างๆเป็นต้นแบบของอารมณ์และความคิดของเรา ซึ่งเป็นจริงจากชั่วขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง ถ้าเราเข้าถึงกระบวนการที่เป็นสัจธรรมนี้ เข้าใจการทำงานของจิต และตระหนักถึงการมองสิ่งต่างๆ ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น เช่น วันนี้เรามองแบบนี้ เพราะอารมณ์และความคิดของเรานำไป ดังนั้นมันสามารถชักนำเราไปในทางตรงกันข้ามได้เช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุและผล เป็นวงโคจรที่เราเวียนว่ายอยู่ เป็นโซ่แห่งวัฏสงสาร ซึ่งผูกอยู่กับโลภะ โทสะ และโมหะ  โซ่นี้อาจจะเป็นโซ่แห่งการหลุดพ้นได้เช่นกัน ถ้าเราสละได้ซึ่งความโลภ โกรธ หลง

เราจึงไม่คาดหวังว่าปรมาจารย์ทั้งหลายจะหยุดคิดหรือไม่มีความคิดเสียเลย  แต่ใจเขาจะปลอดจากความคิดที่เกิดจากแรงขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ  ถึงแม้เขาจะมีความคิดและความรู้สึกอยู่ แต่มันเกิดจากเหตุผลที่ต่างออกไป ขึ้นอยู่กับพื้นฐานธรรมของแต่ละคน

และสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เมื่อเวลาผ่านไป เราจะตระหนักว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าความคิดและอารมณ์ มันเป็นสิ่งที่บรรจุทั้งสองสิ่งนี้ไว้ด้วยกัน ซึ่งใหญ่กว่าและถาวรกว่า เราเริ่มเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นและดับไป ในกรอบที่กว้างขึ้น

เมื่อเราเริ่มเข้าถึงกรอบที่ว่านี้ เราจะมองเห็นความโลภหรือความไม่โลภในใจ เราสามารถมองเห็นจิตที่แท้จริงได้ ซึ่งถ้าทำได้ เราจะเรียนรู้อย่างแจ่มชัดได้ด้วยตัวเองว่า มีความโลภอยู่ในใจหรือไม่ มีปัญญาเกิดขึ้นในใจหรือไม่ โดยการมองเห็นจิตอย่างที่มันเป็น
 
สภาวะที่บริสุทธิ์ ที่ปราศจากความโลภ โกรธ หลง ต่างจากสภาวะของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นอยู่ ซึ่งเราต้องมองให้เห็นได้ด้วยตนเองว่า ผู้ที่ยังเกี่ยวข้องกับความโลภ โกรธ หลง คือผู้ที่ยังอยู่ในสภาวะที่ยึดตัวยึดตน หรือ"สภาวะปิด" ขณะที่ผู้ละจากสิ่งเหล่านั้นได้ อยู่ใน"สภาวะเปิด"  จิตที่อยู่ในสภาวะปิดก็เหมือนกับจิตที่ยึดตัวตน ดิ้นรน มืดมน ลึกลับ สับสน เหมือนมีพลังอันน่ากลัวแฝงอยู่ โดยที่เราไม่แน่ใจว่ามันกำลังจะทำอะไร ไปในทิศทางใด หรือกำลังเกิดอะไรขึ้น เปรียบเสมือนการไม่มีสตินั่นเอง

สภาวะของจิตที่บริสุทธิ์ มักจะชัดเจนและเปิดกว้าง มีสติและความสงบควบคู่กัน ถ้าจิตไม่อยู่กับปัจจุบัน ความสงบจะไม่เกิดขึ้น เพราะแรงกระตุ้นด้านลบจะคอยคืบคลานเข้ามาในใจโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น มันอาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่เราไม่ควร ยึดถือว่า ทุกอารมณ์ดีหรือไม่ดี หรือ ยึดถือว่าทุกความคิดดีหรือไม่ดี เพราะเป็นการสรุปที่ง่ายเกินไป บางครั้งเราพยายามกำจัดความรู้สึกและความคิดที่เราไม่ชอบด้วยการบอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งเป็นการพูดแบบตัดสินโดยไม่เห็นใจตัวเอง หรือไม่มีความอดทนมากพอ

ในทางกลับกัน คือการเชิดชูว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่ง แม้จะเป็นการมองที่เป็นบวก ก็ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะใจเราไม่ได้บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง มีศีลธรรม และฝึกสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ใจเราก็จะบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ และนั่นคือศรัทธาที่เราเชื่อมั่นได้ ในฐานะผู้ปฏิบัติ

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราควรจะเฝ้ามอง ไม่ใช่เพื่อตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่เพื่อดูว่าใช่ หรือไม่ใช่หนทางที่จะนำเราไปสู่ความสุข หรือเป็นหนทางที่นำไปสู่ความทุกข์




​

อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai


​

The Automatic Pilot: การขับเคลื่อนโดยธรรมชาติ

24/3/2019

 
"ใจคน มักจะชอบมองหาแต่สิ่งที่ทำให้ตนพอใจ"
มีพระรูปหนึ่งในวัดเคยถามอาตมาอย่างสิ้นหวังว่า "ความคิดต่างๆที่เข้ามารุมเร้ารบกวนจิตใจผมมันมาจากไหน" คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีมากทีเดียว
ความคิดต่างๆเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่มักจะคอยปรุงแต่งเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตมุ่งแต่จะมองหาสิ่งที่ชอบและหลีกเลี่ยง-ผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ การปรุงแต่งกับสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราอย่างมาก ถ้าจิตของเราคอยแต่จะวิ่งตามมันอยู่ตลอดเวลา
ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความคิดของตนเป็นแรงขับเคลื่อนการดำเนินชีวิตอย่างอัตโนมัติ ด้วยการถูกดึงดูดเข้าหาสิ่งที่ตนพอใจและจะผลักไสสิ่งที่ไม่น่าพอใจอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะในวัฒนธรรมสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่คนทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญกับวัตถุ การมานั่งนิ่งๆเพื่อฝืนกระแสและขัดเกลากิเลสตัวเอง จึงเป็นการฝืนใจอย่างยิ่ง  เพราะมันขัดกับความเคยชินที่ปล่อยให้ความคิดโลดแล่นตามกิเลสไปอย่างอิสระ นอกเสียจากว่าเราจะรู้เท่าทันมันเสียก่อน
ถ้าเรามองเห็นและยอมรับอย่างที่มันเป็น เราจะไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะมันเป็นเพียงแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นในใจ หรือเป็นเสียงเรียกร้องที่เกิดขึ้นในหัวของเรา เป็นอารมณ์หรือความรู้สึกต่างๆที่พยายามจะชักนำเราไปหาสิ่งที่ชอบ และผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ
การฝึกให้เกิดสติอย่างต่อเนื่องจะทำให้เรารู้เท่าทันความความคิดปรุงแต่ง และสามารถปรับจิตใจให้สมดุลกับเป้าหมายทางธรรมได้  ซึ่งหมายถึงการเลือกสิ่งที่ทำให้พอใจ และผลักไสสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้เช่นกัน แต่ในแบบที่ต่างไปจากเดิม  
ดังนั้นระบบการตอบสนองอัตโนมัติ จึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสียทีเดียว  ถ้าเราฝึกให้มันตอบสนองไปในทิศทางที่ถูกที่ควร
เมื่อได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความยากลำบากได้ เช่นการประพฤติผิดศีลเป็นต้น  ถ้าเราตั้งมั่นรักษาศีลได้แล้ว เราจะปฏิเสธการไปในที่อโคจรเช่น การเข้าผับ เข้าบาร์ได้โดยง่าย
เพราะเรารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสถานที่เช่นนั้น เราจึงหลีกเลี่ยงได้โดยอัตโนมัติ เหมือนเมื่อก่อนที่เราเคยเข้าผับเข้าบาร์ได้โดยไม่ต้องไตร่ตรอง แต่เมื่อเรายึดมั่นในศีล เราจะสามารถหันหนีจากสิ่งเหล่านั้นได้ทันทีเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน เพราะต้องสร้างรูปแบบ และการตอบสนองแบบใหม่ขึ้นในใจเรา
คนทุกคนมีแรงผลักดันสองอย่าง 

หนึ่ง คือ มีความสุขที่มีชีวิตอยู่ในธรรม 
สอง คือการมองเห็นตัณหาที่เคยมี ในแบบที่ต่างไปจากเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีความฉลาดในการมอง ถ้ามองเห็นและรู้เท่าทันมัน ตัณหาต่างๆเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
การมองเห็นเช่นนี้ ต้องอาศัยแรงจูงใจ  เราต้องตระหนักว่า วิธีนี้จะพาเราไปสู่หนทางที่สงบ ร่มเย็น และเป็นสุข  
เพราะใจคนมักจะมุ่งหาสิ่งที่น่าพอใจสูงสุด เพียงได้รับรู้ถึงความสงบ ไม่เร่าร้อนด้วยตัณหา ก็เป็นความรู้สึกที่น่าพอใจประการหนึ่งแล้ว
ถ้ามีใครสนใจใคร่รู้  ว่าความคิดที่ก่อกวนจิตใจเหล่านั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งหมดนี้คือคำตอบ






อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai


​
​

Staying at the Heart : ตั้งอยู่ที่ใจ

24/3/2019

 
“เปิดเผยความจริงภายในของจิต”

เราสามารถสรุปใจความสำคัญของการปฏิบัติได้หลายทาง ซึ่งแต่ละหนทางนั้นจะสะท้อนถึงตัวตนของคนที่แตกต่างกันออกไป

เราชอบสรุปภาพรวมของการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาว่าเป็นการ “ไม่มัวท่องไปภายนอก” เคยมีคนถามพระอาจารย์หัว ซึ่งเป็นพระอาจารย์ชาวจีนว่า “พระอาจารย์ ท่านต้องดูแลจัดการวัดมากมาย รวมถึงหน้าที่และเรื่องต่างๆ ทั้งหมดนี้ แต่ทำไมท่านถึงยังดูสบายใจอยู่ ท่านทำได้อย่างไร” พระอาจารย์หัวตอบว่า “อ้อ นั่นเพราะเราไม่มัวท่องไปภายนอกอย่างไรล่ะ” พวกเขาถามต่อว่า “เป็นอย่างไรหรือ ที่ว่าท่านไม่เที่ยวท่องไปภายนอก? ท่านแปลว่าอะไร?” “เราไม่ท่องไปภายนอก เราตั้งอยู่ที่ใจ ตั้งอยู่กับที่ ที่ใจ”

นี่น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่เรานำมาใช้สรุปสาระสำคัญของการปฏิบัติได้ เป็นหนทางที่ทำให้เราพิจารณาจิต ซึ่งก็คือ กรรมของเรา พิจารณาผลแห่งกรรม คือ ผลที่ว่าหากจิตท่องไปภายนอกแล้ว จะทำให้เกิดทุกข์ เมื่อจิตไม่ท่องออกไปภายนอก ก็จะไม่เกิดทุกข์ ง่ายๆ แต่เพียงเท่านั้น

เป็นธรรมดาที่จิตของมนุษย์มักจะเดินทางไปภายนอก เราจึงต้องฝึกปฏิบัติ ด้วยความแน่วแน่และความเพียรเพื่อไม่ให้จิตท่องไปภายนอก การเจริญสมาธิตามแบบแผนทางพุทธศาสนานั้นสอนให้เราควบคุมจิตไว้ให้อยู่กับที่ รักษาจิตไว้ให้อยู่ที่เดิม ที่ใจ สูดลมหายใจเข้าไปที่ใจ อยู่กับลมหายใจ อยู่กับใจ อยู่กับจิต อยู่กับความรู้สึกตัว และอยู่กับปัจจุบันขณะ รวบรวมทุกอย่างไว้ที่ใจ รวบรวมความรู้สึกตัวไว้กับใจ เปิดจิตออกให้กว้างเพื่อรับสิ่งต่างๆ เข้ามา

เมื่อนั้น แทนที่จะท่องออกไปภายนอกและเตลิดไปกับสิ่งต่างๆ มากมาย จิตของเราก็จะเปิดกว้างและรับสิ่งต่างๆ ได้เอง เราจะรู้สึกถึงประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างมาก ประสบการณ์ 2 แบบนี้ ระหว่างประสบการณ์ของจิตที่ท่องออกไปภายนอก เตลิดไปกับสิ่งต่างๆ หลงไปกับสิ่งเหล่านั้น ยึดติดไปกับสิ่งเหล่านั้น และเมื่อสิ่งนั้นไม่ยั่งยืน จิตก็จะรู้สึกได้เพียงชั่วคราว พอใจอยู่ได้เพียงชั่วคราว แล้วก็จะ “เอ่อ....อ่า.....” ทำอะไรไม่ถูก เราอาจรู้สึกดีในตอนแรกแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ “เอ่อ....อ่า...” แต่ถ้าเราเปิดจิตรับสิ่งต่างๆ เราก็จะรู้สึกต่างกันออกไปอย่างมากทีเดียว

สมมติว่าเราออกไปเดินเล่นในวันอากาศดีสักวันหนึ่ง ข้างนอกมีดอกไม้สวยงาม จิตของเราเดินทางออกไปและหยิบเอาดอกไม้เหล่านั้นขึ้นมา จิตนั้นผูกติดอยู่กับดอกไม้ ปิติยินดีไปกับสีสันหลากหลายของดอกไม้ และสุดท้ายก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะเมื่อทุกอย่างสิ้นสลายไป จิตนั้นก็จะต้องการดอกไม้อื่นอีก และเราก็จะยึดเอาดอกไม้เป็นที่พึ่งแห่งความสุขของตัวเรา เรารู้สึกดีที่มีดอกไม้อยู่ และรู้สึกไม่ดีเมื่อไม่มีดอกไม้เช่นกัน ดอกไม้เหล่านั้นไม่จีรัง พวกมันคงอยู่ตลอดไปไม่ได้ ใช่หรือไม่

แต่ถ้าหากเราออกไปเดินเล่นในวันอากาศดีวันหนึ่ง เราทำจิตของเราให้เปิดกว้างรับสิ่งต่างๆ โดยง่าย เมื่อเรามองเห็นดอกไม้สวยงาม พวกมันยังคงสวยงาม แต่จิตของเราไม่ได้ท่องออกไปเพื่อหยิบจับมัน เมื่อนั้นดอกไม้เหล่านั้นก็จะยังคงอยู่ที่เดิม อยู่ที่พื้นดินอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่เราเดินออกไป ดอกไม้เหล่านั้นก็จะยังอยู่เช่นนั้น แต่ถ้าเราคิดจะออกไปเด็ดดอกไม้นั้นกลับมาปักแจกัน  เราก็ได้แต่มองดูพวกมันเหี่ยวเฉา เพราะพวกมันคงสภาพอยู่อย่างนั้นตลอดไปไม่ได้ ใช่หรือไม่

จิตที่ยึดติด วิ่งเตลิดตามสิ่งต่างๆ ปิติยินดีไปกับสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า “ปิติยินดี” แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องยึดติดกับสิ่งเหล่านั้นได้ เราสามารถเพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆ ด้วยจิตเปิดกว้างที่ตั้งอยู่กับที่ได้ เป็นไปได้มากด้วย แต่ด้วยหนทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และด้วยการให้ความสนใจที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เป็นความสนใจที่ไม่ปรารถนาจะได้มา ไม่มีความต้องการในความสนใจนั้น เป็นเพียงการรับรู้ เหมือนกับการรับฟังเฉยๆ โดยไม่เรียกร้องต้องการอะไรจากสิ่งใด เป็นเหมือนการรับฟังในสิ่งที่สิ่งนั้นๆ จะบอกกับเรา ดอกไม้เหล่านั้นกำลังบอกอะไรเราอยู่ เราอาจมีมุทิตา มีความเพลิดเพลิน เบิกบานใจร่วมไปกับช่วงเวลาอันงดงามของดอกไม้นั้น ความรู้สึกแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อเราต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้า ความเบิกบานนั้นก็จะไม่ลบเลือนไปในทันที

นี่เป็นหนทางหนึ่งในการอธิบายผลของการปฏิบัติ จะว่าไปก็เหมือนเป็นการเปิดเผยความจริงภายในของจิตที่แท้ ใช่หรือไม่ เหมือนกับว่าเรากำลังตกที่นั่งลำบาก เราพูดถึงการละทิ้งความสุขจากประสาทสัมผัสภายนอกเพื่อโลกแห่งจิตวิญญาณภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่มันอาจจะดูน่ากลัวบ้างเหมือนกันตรงที่ว่าเราเหมือนกำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป แต่ความจริงที่แท้นั้นคือ ที่จริงแล้วเราไม่ได้สูญเสียอะไรไปเลยสักอย่าง สิ่งที่เราเสียไปคือ ความปรารถนาในใจเท่านั้น ความปรารถนานั้นไม่ใช่ความสุข ความปรารถนาทำให้เราสุขใจหรือไม่ ความอยากได้อยากมีล่ะ ทำให้เราสุขใจหรือไม่ เราลองพิจารณาดู เวลานั่งสมาธิ เราอาจลองพิจารณาความปรารถนาที่เกิดขึ้นในใจ มันทำให้เรามีความสุขหรือเปล่า ลองค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง จิตที่เปิดกว้างจะพบกับคำตอบด้วยตัวเองว่า ความปรารถนาในใจ ไม่ว่าจะเป็นความปรารถนาอะไรก็ตาม ทำให้เรามีความสุขได้หรือไม่ 

เมื่อเรามองดูสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความอยากได้อยากมี สิ่งนั้นจะงดงามยิ่งกว่า เราจะมีความสุขไปกับสิ่งนั้นยิ่งกว่า และนั่นก็เป็นการเปิดเผยความจริงภายในของจิตที่แท้จริง ใช่หรือไม่ เราอาจคิดว่า “อืม ดีนะ ถึงแม้ว่าเราจะตั้งใจปฏิบัติธรรมอยู่ เราก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับสิ่งที่รู้สึกได้จากประสาทสัมผัสเหล่านี้” บางครั้งเราอาจรู้สึกเพลิดเพลินและชื่นชมยินดีกับสิ่งต่างๆ โดยบิดเบือนว่าเป็นความรู้สึกอื่น เมื่อทำเช่นนี้ย่อมไม่ได้ผล เพราะเรายังคงคิดถึงสิ่งเหล่านั้นเมื่อมันจากไป เราอาจกำลังหลอกตัวเอง เราอาจลืมไปว่าทุกวันนี้มีคนมากมายเขียนหรือพูดเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติ ซึ่งทำให้เราได้ฟังหรือได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งแปลว่าอันที่จริงแล้วความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ถูกต้องหรือไม่ แต่หากเราเพียงแต่เชื่อเรื่องราวที่ผู้อื่นถ่ายทอดโดยไม่ฝึกปฏิบัติด้วยตัวเอง เราอาจประเมินตัวเองผิดไปก็ได้ 

การเฝ้าดูจิตเคลื่อนไหวนับเป็นการปฏิบัติที่ดีมากทางหนึ่ง โดยเราสามารถเฝ้าดูว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อจิตเดินทางท่องไปภายนอกผ่านทางประสาทสัมผัสต่างๆ เปรียบเทียบกับเมื่อจิตของเราเปิดกว้างอยู่ภายในใจโดยไม่ยึดติดกับประสาทสัมผัส เราจะเห็นได้ว่าจิตของเราจะพุ่งออกไปทางตา ยึดจับเอาสิ่งที่เห็น เราสามารถรู้สึกได้ภายในดวงตา เป็นความรู้สึกที่รุนแรง เพ่งสมาธิของเราไปที่สิ่งนั้น ในขณะที่จิตของเราเดินทางออกไปทางดวงตา เรามองเห็นอะไรบางอย่าง ดวงตาเรายินดีกับสิ่งนั้น ความรู้สึกของเราสัมพันธ์กับสัมผัสจากดวงตา เป็นสัมผัสที่เกิดจากสำนึกในสิ่งที่ตามองเห็น เรารู้สึกถึงสิ่งนั้นได้ที่ดวงตาของเรา หรือที่ประสาทสัมผัสอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรส สัมผัส ความรู้สึก กลิ่น ทุกประสาทสัมผัส เรายินดีปรีดาไปกับสัมผัสเหล่านั้นเพื่อรู้สึกถึงความสุข ซึ่งเกิดขึ้นและดับลง ไม่จีรัง

เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว จึงลองเปรียบเทียบกับความสุขที่เกิดจากจิตที่เปิดกว้างรับสิ่งต่างๆ โดยไม่ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ ด้วยวิธีนี้ประสาทสัมผัสของเราจะเปิดกว้างและผ่อนคลาย ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ หรือเรียกได้ว่า จิตของเราเปิดกว้างและผ่อนคลายภายใต้ประสาทสัมผัสเหล่านั้น จิตของเราผ่อนคลายกับปัจจุบันมากกว่าจะมุ่งเพ่งอยู่กับปัจจุบัน นั่นทำให้เราสงบนิ่ง ไม่ปรารถนาอยากได้สิ่งใด เราสามารถผละจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่งได้ 

เมื่อนั้นจิตของเราก็จะเป็นสุขกับสภาวะของมันเอง กับการเปิดรับสิ่งต่างๆ ซึ่งความสุขนี้มีมากกว่าความสุขที่ได้จากวัตถุสิ่งของที่จิตสัมผัสได้เสียอีก สภาวะของจิตทำให้เราเป็นสุขได้มากกว่าสิ่งที่อยู่ภายในจิตของเราเสียอีก สภาวะนั้นเริ่มมีผลมากกว่า และมีความสำคัญกับเรามากกว่า เราจะตระหนักได้ว่า ความสุขนั้นอยู่ภายในจิตของเรา และเราสามารถสร้างให้มันเกิดขึ้นภายในได้ และสิ่งนี้เองก็ถือเป็นการเปิดเผยความจริงภายในออกมาอย่างแท้จริง ใช่หรือไม่ล่ะ



​


อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai


​

Deep and Broad Practice : การปฏิบัติแนวลึกและแนวกว้าง

17/11/2018

 

“พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้เรามุ่งฝึกความเข้มแข็งเป็นหลัก”
​

Picture

คืนนี้อาตมาจะขอพูดถึงแนวคิดที่ว่า การปฏิบัตินั้นทำได้ในสองมิติ คือ มิติในแนวลึก และมิติในแนวกว้าง ตลอดเวลาที่ได้ปฏิบัติมา พวกเราคงเคยอยากลองหรือเคยปฏิบัติสำเร็จในมิติใดมิติหนึ่งในสองมิติ ไม่ว่าจะเป็นแนวกว้างหรือแนวลึกนี้มาบ้าง พวกเราเองคงเคยทุ่มเทปฏิบัติในมิติใดมิติหนึ่งนี้จนสำเร็จ ขณะเดียวกันบางสถานการณ์ก็อาจเหมาะกับการเลือกปฏิบัติในมิติหนึ่งในสองมิตินี้ หรือบางคนก็อาจปฏิบัติในมิติหนึ่งได้ดีกว่าอีกมิติหนึ่ง อย่างไรก็ดี อาตมาอยากแนะนำว่า การปฏิบัติแบบรอบด้านหรือการปฏิบัติที่สมบูรณ์ ก็คือการปฏิบัติที่จะต้องประกอบไปด้วยมิติทั้งสองนี้นี่เอง

อาตมาใคร่ขออธิบายถึงการปฏิบัติในสองลักษณะนี้ว่าหมายถึงอะไร การปฏิบัติในแนวกว้างคือ การปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติรู้สึกสงบและมองเห็นสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ส่วนการปฏิบัติในแนวลึก คือ การปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติมองเห็นได้ดิ่งลึกลงไปในสัจธรรมของสรรพสิ่ง และการได้เห็นสิ่งต่างๆ แตกต่างไปจากเดิมก็จะช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้ปฏิบัติที่มีต่อโลกไปด้วย

โดยปกติแล้ว การปฏิบัติในแนวลึกมักเป็นหนทางสำหรับฆราวาสในการฝึกใช้ชีวิตด้วยสติ มีทัศนคติที่เป็นบวกกับปัจจุบัน ใช้ชีวิตกับปัจจุบัน มีทัศนคติโดยรวมเป็นบวกและมีสติกับสถานการณ์ทั้งหลายที่พวกเขาต้องประสบ สำหรับพระสงฆ์เองอาจได้พบเจอกับช่วงเวลาที่ทำให้ต้องปฏิบัติในแนวลึกได้เช่นกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญกับสถานการณ์หลากหลายรูปแบบที่เราต้องพยายามอดทนผ่านพ้นไปให้ได้ 

จิตที่เข้มแข็งจะเกิดขึ้นได้จากสิ่งนี้ ทั้งจากความสามารถในการพาตนเองผ่านสถานการณ์ต่างๆ ต่อสู้กับสิ่งที่มากระทบ และความสามารถในการถอยออกจากสภาวะจิตใจของตนเอง นั่นคือ การที่เราสามารถควบคุมจิตของเราเองได้ ในบางสถานการณ์ที่อาจทำให้จิตของเราวุ่นวายผิดปกติ จนอยากออกไปจากสถานการณ์นั้นๆ แต่เรายังสามารถยับยั้งจิตใจให้แจ่มชัดอยู่ได้โดยไม่ขุ่นหมอง 

การเฝ้าสังเกตุ ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่อย่างนั้น เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และจำเป็นในการฝึกปฏิบัติให้ได้ท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ การไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ต่อสถานการณ์นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีการไม่สนองตอบ นั่นคือ การอยู่ในภาวะนิ่งเฉย เฝ้าดูเหตุการณ์โดยไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ บางทีเราอาจไม่มีตัวช่วยคอยบอกว่าเราควรทำอะไรต่อ เราต้องอาศัยการปฏิบัติในมิติที่ลึกซึ้งขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้จิตของเราได้มองเห็นการเคลื่อนไหวของสรรพสิ่ง เมื่อนั้นก็จะเกิดปัญญาที่จะชี้นำเราว่าต้องทำอะไร ชี้นำว่าชีวิตจะดำเนินไปด้วยอุบายเช่นไร

บางครั้งการปฏิบัติในแนวลึกนี้อาจมีมิติที่ลึกซึ้งมาก จนสามารถเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อโลกไปได้โดยสิ้นเชิง เมื่อปฏิบัติในแนวกว้าง เราอาจยอมรับสัจธรรมความเป็นไปของสรรพสิ่งได้ โดยที่เราเองก็ยังไม่เคยได้ประสบพบเจอกับสิ่งนั้น แต่สำหรับผู้ที่สามารถปฏิบัติในแนวลึกและได้เข้าใจสัจธรรมของสรรพสิ่งแล้วนั้น พวกเขาจะยอมรับความเป็นไปของชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะทุกสิ่งที่เกิดล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้น ความเป็นไปของสิ่งรอบตัวเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะช่วยปลดปล่อยจิตให้เป็นอิสระ เราอาจพบความสุขมากมายเพียงแค่เราเข้าใจความเป็นไปของสิ่งเหล่านั้น

ถ้าเราไม่พยายามฝึกปฏิบัติให้ลึกเพื่อเข้าใจสัจธรรมของสิ่งต่างๆ สัจธรรมของชีวิต และสัจธรรมของสถานการณ์ในการเป็นมนุษย์ให้ลึกซึ้งขึ้น ก็ถือว่าเราพลาดโอกาส เรามักจะมีโอกาสได้ปฏิบัติในลักษณะนี้ทั้งในเวลาที่เราตั้งจิตฝึกสมาธิกรรมฐานอย่างแน่วแน่หรือแค่ตอนพักจากงานประจำเพื่อฝึกสมาธิสั้นๆ และเราก็สามารถแยกฝึกปฏิบัติจากการปฏิบัติในแบบแรกได้ นั่นคือ เราอาจใช้ชีวิตในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดี ยอมรับผู้คนรอบข้างและตั้งใจทำหน้าที่ของเราเพื่อประโยชน์ของทุกคน เมื่อมีโอกาสได้พักเพื่อฝึกสมาธิ เราจึงอาจลองปฏิบัติให้ลึกซึ้งเพื่อมองสิ่งต่างๆ ในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม และเพื่อค้นพบบ่อเกิดของความสุขที่แตกต่างของชีวิต นี่อาจเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในวิถีแห่งธรรม ซึ่งก็คือ การค้นหาเหตุแห่งความสุขในความสุขเอง ซึ่งจะทำให้เราก้าวเดินต่อไปได้ การเจริญสมาธิและการหยั่งรู้ตนเองเป็นสิ่งประเสริฐที่เราจะได้จากการฝึกปฏิบัติในแนวลึกนี้

บางทีก็น่าจะดีถ้าเราได้พิจารณาด้วยตัวเองว่าเราอยู่ในสภาวะอะไร บุคลิกของเราเป็นอย่างไร เราเหมาะกับอะไร และจะใช้สภาวะในขณะนั้นให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร เราอาจจะเลือกคิดว่า “เราอยู่ในสภาวะที่เงียบสงบแบบนี้ น่าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติให้ลึกขึ้นอีกนิด” หรือจะคิดว่า “สภาวะที่เป็นอยู่นี้ลำบากมากแต่เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติให้กว้างขึ้น ฝึกจิตให้นิ่งและไม่ตอบโต้กับสิ่งต่างๆ ได้”

ด้วยกิจของสงฆ์ ทำให้เราต้องย้ายจากวัดหนึ่งไปจำวัดที่วัดอีกแห่งหนึ่งอยู่เรื่อยๆ อาตมามักจะคิดถึงเรื่องนี้เสมอ เราอาจจำวัดอยู่ที่วัดสักแห่งหนึ่งที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติแนวลึก มีเวลาอยู่กับตัวเองมาก เงียบสงบ เป็นวัดที่รักษาศีลได้เคร่งครัด ทุกอย่างเอื้อต่อการปฏิบัติ เมื่อเราต้องไปจำวัดที่วัดอื่น ซึ่งมีกิจมาก มีกิจกรรมมากมายเกิดขึ้นอยู่ตลอด มีคนมากมายในวัดที่ไม่เข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ หรือเวลาที่เราต้องออกไปเทศนาธรรมต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ลองปฏิบัติในแนวกว้างได้เช่นกัน

อาตมาคิดว่า คนเราควรจะหัดฝึกความเข้มแข็งมากกว่าที่จะหัดรับมือกับความอ่อนแอ ถือเป็นหลักการที่ใช้ได้กับทุกเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้เราฝึกความเข้มแข็งเป็นหลัก สำหรับคนที่ฝึกปฏิบัติได้ลึกแล้ว ก็ควรฝึกความเข้มแข็งเป็นหลัก สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มสังคมโดยรวม เพราะเราสามารถแบ่งปันความหยั่งรู้ที่เราได้พบให้กับผู้อื่น ในเรื่องสัจธรรมของความชัดแจ้ง สัจธรรมของสภาวะความเป็นมนุษย์ สภาวะการดำรงอยู่ของตัวเรา สถานะการอาศัยอยู่ในโลกของมนุษย์ที่นอกเหนือไปจากรูปลักษณ์ภายนอก คนแบบนี้เป็นคนที่มีค่ามากต่อการได้อยู่ร่วมสังคมด้วย บุคคลที่มีความสามารถแท้จริงเหล่านี้เป็นคนที่ควรค่าให้เราส่งเสริมและสนับสนุน

ขณะเดียวกันก็มีพระสงฆ์บางรูปที่ปลีกตัวเองอยู่เงียบๆ ในกุฏิเพื่อต้องการอยู่ห่างจากทุกสิ่ง ท่านเหล่านี้อาจไม่ได้ใช้โอกาสที่มีในการพัฒนาตัวเองเลย ตรงกันข้ามกลับเป็นการหนีจากทุกอย่าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้น ผู้ที่เริ่มต้นแบบนี้ก็อาจเกิดผลดีได้ เพราะพวกเขาจะพบว่าเขาต้องปฏิบัติเพราะสิ่งที่พวกเขาพยายามจะหนีได้ตามเขากลับมาที่กุฏิด้วยทั้งหมด

การมีสมาชิกในกลุ่มที่มีจุดแข็งหลากหลายเป็นสิ่งที่มีค่ามาก พระสงฆ์ที่ปฏิบัติได้กว้าง ได้ประสบพบเห็นและข้ามผ่านสถานการณ์ที่หลากหลายมาได้มักจะทำหน้าที่เป็นผู้นำอยู่ข้างหน้า ส่วนพระสงฆ์ซึ่งปฏิบัติได้ลึกก็จะรับหน้าที่ในการเทศนาสนทนาธรรม นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัดที่มีการจัดวางระบบทางธรรมที่ดี เป็นที่ที่เราได้เรียนรู้จากกันและกัน และได้ปกป้องกันและกัน 

ผู้ที่เข้ากับผู้อื่นได้ง่ายมักจะเป็นคนที่ปฏิบัติได้กว้าง ขณะเดียวกันผู้ที่ดูเป็นคนเงียบๆ ก็มักเป็นคนที่ปฏิบัติได้ลึก เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาทั้งสองกลุ่มจึงควรต้องแบ่งปันกันในสิ่งที่ตนเองรู้เกี่ยวกับสัจธรรมของจิต หรือสัจธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างกายกับจิต เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกันนั่นเอง







อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai
​

Buddhist Therapy : พุทธบำบัด

17/11/2018

 

“หนทางอันเป็นที่สุด”
​

ค่ำนี้อาตมาคิดไว้ว่า จะพูดเรื่องพุทธศาสนาซึ่งช่วยเชื่อมโยงตัวเรากับโลกแห่งอารมณ์ของเราเอง หรือการที่พุทธศาสนาเปรียบเหมือนการบำบัดจิตให้กับเรา รวมถึงความเหมือนและความแตกต่างของพุทธศาสนาและการบำบัดทางการแพทย์ ด้วยความที่ได้ศึกษาวิชาจิตวิทยามาก่อน อาตมาจึงรู้สึกว่าตัวเองมีคุณสมบัติที่จะพูดเรื่องนี้ในบริบทของการปฏิบัติธรรมตามวิถีพุทธที่จะนำไปสู่เรื่องของการบำบัดต่อไป

บ่อยครั้งเวลาที่เราเริ่มเจริญสมาธิ โลกแห่งอารมณ์มักจะมีอิทธิพลต่อจิตของเรามากกว่า หรืออธิบายได้ว่า เรามีเรื่องมากมายเข้ามาในความคิดให้ต้องตอบโต้หรือตอบสนอง เหมือนกับการเปิดกล่องแพนโดราจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่งต่อไปเรื่อยไม่จบสิ้น

ก่อนอื่นต้องดูว่า สิ่งนี้คืออะไร ส่วนใหญ่แล้วเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุข้างต้นก็เพราะในช่วงเวลาของการนั่งสมาธิชั่วขณะหนึ่งนั้น เรากำลังปฏิเสธตัวเราเองอยู่ เราไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความอยากในความคิด เราไม่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ แต่เราแค่นั่งอยู่นิ่งๆ อย่างนั้น ความอยากเหล่านี้จึงเข้ามาในความคิดของเรา แต่มันก็ไม่ได้บอกเราว่ามันต้องการอะไรกันแน่ ความอยากนั้นพูดกับเราได้ในทุกรูปแบบ บางครั้งก็ฟังดูมีเหตุผลมากๆ ด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ความอยากจะพูดกับเราว่า “ฉันไม่อยากทำอย่างนี้ ฉันอยากทำอย่างอื่นมากกว่า” บางครั้งมันก็อาจแค่ส่งสัญญาณโอดโอยแอบแฝงมา โดยไม่แสดงตัวตนออกมาในทีแรก เราจึงต้องพิจารณาให้ลึกยิ่งขึ้นเพื่อเข้าใจว่าความโอดโอยทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดมาจากไหน

อย่างเช่น การตอบสนองต่อความปวดเมื่อยจากการนั่ง ถ้าเราไม่คุ้นชินกับการนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน ความรู้สึกไม่สบายตัวอาจก่อให้เกิดอะไรหลายอย่างตามมา บางคนอาจมองข้ามความรู้สึกนี้ไป โดยไม่รู้ว่านั่นอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความไม่สบายตัวนั้น พวกเขาไม่เคยชินกับการอดทนต่อความลำบากกายด้วยเหตุผลที่ดูเหมือนจะไม่เข้าท่านี้ ซึ่งการทำเช่นนั้นอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เรารู้สึกปวดเมื่อยอยู่ก็ได้ ถ้าเราทำความเข้าใจและตั้งจิตอยู่บนความไม่สบายตัวนั้น เข้าใจได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร หรือเราอาจจะเรียนรู้วิธีอดทนกับมันได้ การอดทนกับความทุกข์กาย ไม่ยอมให้ความทุกข์กายนั้นมาทำให้จิตของเราไม่สงบถือเป็นความชำนาญที่เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะในที่สุดแล้ว เราก็ไม่สามารถจะวิ่งหนีความทุกข์กายทั้งหมดในชีวิตเราไปได้ และถ้าหากเราต้องใช้ชีวิตที่มีอยู่วิ่งหนีมันอยู่ตลอด ชีวิตก็คงจะไม่เป็นชีวิตสักเท่าไหร่ 

ถ้าเรามองให้ลึกลงไป ก็อาจจะดูเหมือนว่า สิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ของเรามีความสัมพันธ์กับร่างกายของเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่นักจิตวิทยาหลายคนได้พูดถึงมาแล้ว จิตแพทย์หลายคนพูดในทำนองว่าสิ่งที่เป็นอารมณ์ของเรานี้อยู่ภายใต้ร่างกายของเรา ฟังดูก็เหมือนกับว่า มันก่อกำเนิดขึ้นมาจากร่างกายของเราเอง ความรู้สึกส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ความรู้สึกนั้นอยู่ภายในร่างกายของเรา นั่นก็คือ ร่างกายคนเรารู้สึกได้ถึงสิ่งต่างๆ 

ที่จริงแล้ว ความรู้สึกนั้นไม่ได้อยู่ในร่างกายเสียทีเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรารับรู้ได้จากการปฏิบัติธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญและมีอิทธิพลอย่างมากจนสามารถเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่เรามีต่อภาวะอารมณ์ของเราไปโดยสิ้นเชิง หากเพียงแต่เราตระหนักรู้ได้ว่า สิ่งที่เรารู้สึกนั้นไม่ได้อยู่ในร่างกายแต่อยู่ในจิตของเรา เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่า ความรู้สึกพวกนี้วนเวียนและติดอยู่ในร่างกายของเรา การฝึกโยคะสมัยใหม่ทำให้คนได้รู้จักร่างกายของตนเอง และได้ปลดปล่อยสิ่งที่รู้สึกอยู่ภายในทั้งหมดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ได้ฝึกจะรู้สึกว่า “การได้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดออกมาทำให้เรามีสุขภาวะที่ดีมาก” นั่นเป็นความจริงแต่ก็จริงเพียงครึ่งเดียว วิธีการในแบบของโยคีนั้นมีประโยชน์แต่ก็ยังไม่ใช่หนทางที่เป็นที่สุด

ที่สุดแล้ว การที่เรารู้สึกว่า ความรู้สึกต่างๆ อยู่ในร่างกายเราก็เป็นเพราะจิตของเรานั้นผูกติดอยู่กับกายของเรา เมื่อเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า ความคิดและความรู้สึกหรืออารมณ์ของเราก่อกำเนิดขึ้นมาจากกายภายนอก นั่นคือ ความคิดเกิดอยู่ในหัวของเรา หรือความรู้สึกเกิดอยู่ในร่างกายของเรา แต่ถ้าเราไม่ยึดติดกับร่างกายแล้ว บริบทเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไปด้วย ถ้าจิตผละออกจากกายได้ผ่านการเจริญสมาธิ สมการเหล่านี้ก็จะเปลี่ยนไป

อารมณ์ของเราอาจดูเหมือนติดอยู่ในร่างกาย นั่นก็เป็นเพราะจิตของเราติดอยู่ในร่างกาย แต่ถ้าจิตของเราไม่ผูกติดอยู่ในร่างกายแล้ว ความรู้สึกของเราก็จะไม่ติดอยู่เช่นกัน เมื่อนั้นเราก็ไม่ต้องไปวิ่งตามมันอีก เพราะความรู้สึกเหล่านั้นจะอยู่ตรงหน้าเรา ในที่ที่เป็นอิสระมากขึ้น ถ้าเราคิดไปว่า ความรู้สึกติดอยู่ในที่แคบๆ ในร่างกาย ความแคบและความไร้อิสระนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นทุกข์จากความรู้สึกเหล่านั้นนั่นเอง

หากเราสามารถเปิดประตูให้ความรู้สึกได้ก้าวออกไปสู่พื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น เราก็จะได้สัมผัสกับความแตกต่างซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะได้รับจากการเจริญสมาธิ เราจะรู้สึกถึงร่างกาย ถึงท่าทาง ในลักษณะของความตื่นรู้ที่เปิดกว้าง โดยไม่ต้องมุ่งคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เราไม่ได้กำลังมองลึกลงไปเพื่อตามหาความรู้สึกด้วยการเพ่งจิตไปที่สิ่งนั้น แต่เรากำลังเปิดจิตของเราให้กว้าง แล้วปล่อยให้อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นได้เคลื่อนไหวไปตามปกติอย่างเป็นอิสระจากการปิดกั้นภายใน การทำเช่นนี้จะทำให้เราเป็นสุข อิสระ และเบิกบานอย่างมาก เราเริ่มมองเห็นสัจธรรมที่แท้ นั่นหมายความว่า เราสามารถบำบัดตัวเราเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาช่วยตีความความรู้สึกของเราอีกต่อไป อีกนัยหนึ่งคือ เราสามารถเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นอย่างชัดเจนด้วยตัวเราเองโดยไม่ต้องรู้สึกยุ่งยากกับการต้องมีปฏิสัมพันธ์กับจิตแพทย์ กับการคิดคาดคะเน การพึ่งพาผู้อื่น และอะไรอย่างอื่นอีกมากมาย

เมื่อเราสร้างพื้นฐานเบื้องต้นในการดูแลสติ ดูแลร่างกายทั้งหมด ก็ถือเป็นการเปิดช่องให้เราได้เข้าใจโลกแห่งอารมณ์ของเรานั่นเอง อาตมาจำได้ว่า สองปีหลังจากที่พ่อของอาตมาเสียชีวิตท่ามกลางความเศร้าเสียใจอย่างมาก อาตมามีโอกาสได้ลองปฏิบัติธรรมเป็นครั้งแรกในป่าที่ Chithurst อาตมากระตือรือร้นมากในการพิจารณาร่างกายของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า พิจารณาถึงความรู้สึกต่างๆ ที่ร่างกายรับรู้ พอกลับไปที่วัด มีภิกษุณีรูปหนึ่งบรรยายถึงการเสียชีวิตของพ่อของเขา ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกทั้งหมดท่วมท้นขึ้นมาอย่างรุนแรงและควบคุมไม่ได้ ด้วยความเป็นคนอังกฤษ อาตมาจึงวิ่งหนีไปที่ห้องส่วนตัวชั้นบนแล้วร้องไห้แบบเอาเป็นเอาตายถึงสองชั่วโมง หลังจากนั้นก็ไม่เคยเป็นอีกเลย

ในแง่ของการบรรเทาอาการเครียดภายหลังเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจ นี่เป็นสิ่งที่จิตแพทย์ต้องการ พวกเขาต้องการให้ความรู้สึกทั้งหมดเอ่อท้นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำให้ความรู้สึกเหล่านี้ท่วมท้นขึ้นในใจคนไข้ได้อย่างไรโดยไม่ให้คนไข้รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องเดิมอีกครั้ง หรือกล่าวได้ว่า เมื่อความทรงจำหรือความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้งก็เท่ากับว่าเราต้องทุกข์ทรมานกับมันอีกครั้งด้วยเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้ถูกปลดปล่อยออกไปแต่อย่างใด เราแค่กำลังย้อนกลับไปสู่สถานการณ์ขุ่นข้องใจทั้งหมดและสะเทือนใจกับมันอีกครั้ง และเมื่อความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาอีกในครั้งต่อไป ทั้งหมดก็จะย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก และก็อาจจะเป็นอย่างนี้ไปทุกครั้ง

ถ้าอย่างนั้น เราจะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์สะเทือนใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้อย่างไร คำตอบคือ การยอมรับเอาความรู้สึกเหล่านี้เข้ามาในใจที่เปิดกว้างได้ด้วยการเจริญสติ ระลึกถึงร่างกายของเราเองเพื่อเปิดช่องทางให้กับอารมณ์ความรู้สึก ผ่านความตระหนักรู้ถึงร่างกายนั้นด้วยจิตบริสุทธิ์ เมื่อนั้นความรู้สึกต่างๆ ก็จะผ่านไปตามทางของมันเอง

ส่วนการฝึกเพื่อปลดปล่อยจิตจากร่างกายของตัวเองนั้น เป็นผลของการปฏิบัติที่ต้องใช้เวลามากกว่ามาก เมื่อเราแน่วแน่ในการพิจารณากายเราแล้ว จิตก็จะเป็นอิสระจากร่างกายของเรา เราจะรู้สึกว่า จิตและกายนั้นแยกออกจากกัน นั่นเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งขึ้น จำเป็นต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานและการปฏิบัติที่มุ่งมั่นกว่ามากจึงจะทำได้สำเร็จ ถือเป็นหนทางที่เป็นที่สุด คือ การที่เราตัดขาดจากก้นบึ้งของทุกสิ่ง ก้นบึ้งของการยึดติด เพื่อที่จิตจะได้ถูกปลดปล่อยออกจากร่างกาย เมื่อนั้นอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ก็จะไม่ถูกกักขังอีกต่อไป

ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือ การฝึกปล่อยอารมณ์ให้เคลื่อนไหวอย่างอิสระมากขึ้น การทนทุกข์จากอารมณ์เกิดจากการสกัดกั้นอารมณ์นั้น ดังนั้นเมื่อเราปล่อยให้อารมณ์เหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างอิสระในพื้นที่แห่งจิตที่เปิดกว้าง เราก็จะรับมือกับมันได้ง่ายขึ้นจนน่าตกใจทีเดียว
​

Picture

อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai




Seeing is believing : เมื่อเห็นจึงศรัทธา

17/11/2018

 

“การเจริญสติเปรียบดั่งการสอน”


สำหรับบางคนแล้ว การปฏิบัติตนตามหลักพุทธศาสนาอาจดูค่อนข้างยุ่งยาก แน่นอนว่า มีคำชี้แนะ คำอธิบาย และแนวคิดมากมายให้เราได้เลือกประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เราประสบอยู่ เพื่อหาคำตอบว่า “เรื่องที่พบเจออยู่นี้ตรงหรือไม่ตรงกับหลักปฏิบัติในทางพุทธ” เราอาจนำเอาหลักการแบบนี้ไปใช้พิจารณาคำสอนได้ คนที่มีวิธีคิดลักษณะนี้อาจลองศึกษาบทความเกี่ยวกับเรื่อง ศรัทธา แล้วนำแนวคิดที่ได้อ่านไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเห็นตรงหน้า แล้วลองพิจารณดูว่า “แนวคิดนี้เป็นจริงหรือไม่” “เราพิสูจน์เห็นแนวคิดข้อนี้ด้วยตัวเองได้หรือไม่” “เราเข้าใจศรัทธาในลักษณะนี้ได้หรือไม่” “จริงๆ แล้ว ศรัทธาเป็นแบบนี้หรือ” เมื่อเห็นแล้ว จึงศรัทธา นั่นคือ เมื่อเราได้พบเจอจนเข้าใจเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง เมื่อนั้นเราจึงจะเชื่อในสิ่งนั้น

เรายังอาจเข้าใจได้ด้วยว่า สิ่งกลับกันในทางตรงข้ามไม่เป็นจริงเสมอไป หมายความว่า ศรัทธาไม่ได้ทำให้เรามองเห็น เราอาจเป็นพุทธศาสนิกชนที่อุทิศตนให้ศาสนาอย่างมาก ศึกษาเรียนรู้ทฤษฎีธรรมะทุกเรื่อง และมีความศรัทธา แต่ศรัทธาเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เราเห็นแจ้งได้ ความจริงคือ มันเกิดขึ้นแค่ทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ เมื่อเราเห็นเราจึงศรัทธา แต่เมื่อเราศรัทธา ไม่ได้หมายความว่า เราจะเห็น

นี่อาจเป็นหลักคิดที่เราสามารถใช้กับการพิสูจน์หลักธรรม การนำเอาทฤษฎีทางธรรมะหรือ ศรัทธา ไปใช้ได้

ถ้าฟังดูยุ่งยากเกินไป เราอาจเปลี่ยนมาปฏิบัติด้วยวิธีที่ง่ายมากๆ นั่นคือ การเจริญสติ การเจริญสตินั้นเปรียบดั่งการสอน แค่นั้นจริงๆ ถ้าเราเข้าใจว่า การเจริญสติที่แท้นั้นคืออะไร และถ้านิยามในการเจริญสติของเราจะไม่ทำให้เราหลงเดินทางผิด

ถ้าอย่างนั้น อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าการเจริญสติ ก่อนอื่นนั้นสติคืออะไร สติ ในทางพุทธศาสนามีความหมายเกี่ยวข้องกับคำว่า “conscience” (สติสัมปชัญญะ) ในภาษาอังกฤษ มากกว่าแค่ความนึกคิด การติดต่อกับสติสัมปชัญญะของตัวเอง คือ การเจริญสติ เราต้องสร้างสัมปชัญญะให้เจริญขึ้นมากๆ ใจความนี้อาจมีความหมายโดยนัยที่ไม่ดีนัก เพราะสติสัมปชัญญะอาจเป็นสิ่งที่คอยเจ้ากี้เจ้าการเรา เป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป สติสัมปชัญญะอาจเป็นพลังบวกอย่างมหาศาลให้กับชีวิตเราได้ 

การเชื่อมโยงกับสติสัมปชัญญะของเราเป็นเรื่องสำคัญ เรียกได้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของสติที่เรามี การเจริญสมาธิกรรมฐานเป็นวิธีหนึ่งในการฝึกเชื่อมโยงกับสติสัมปชัญญะของตนเอง รวมถึงการเปิดใจ พินิจพิจารณา สังเกตผลลัพธ์ของการกระทำของเรา สังเกตกรรมที่เกิดขึ้นและดับไป สังเกตความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความคิดต่อการใช้ชีวิตที่อาจเปลี่ยนไปของเราในวันรุ่งขึ้น และการเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ 

และเพื่อให้เราอยู่กับปัจจุบัน เราต้องสังเกตทุกอย่างในปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้ เราอาจพยายามปล่อยวางอดีต ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีตและเริ่มต้นใหม่เรื่อยๆ นั่นเป็นสิ่งที่เราได้จากการเจริญสติ ซึ่งทำให้เรากลับมาอยู่กับปัจจุบันและเริ่มต้นใหม่ ทัศนคติที่ว่า “อืม ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยว่ากันใหม่ละกัน” น่าจะเป็นทัศนคติที่สรุปแนวทางปฏิบัติดังกล่าวได้อย่างดี 

วันก่อนอาตมาลองคิดดูว่า สติอาจต้านทานการฝึกฝนด้านศึลธรรมในช่วงแรก แต่หากเราไม่หยุดเรียนรู้ฝึกฝน เราก็จะเริ่มเห็นผลของมัน การไม่หยุดฝึกฝนอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว อาตมานึกถึงตอนที่ได้เฝ้าดูชาวไร่แถวบ้านสอนสุนัขเลี้ยงแกะตัวหนึ่งนานกว่า 1 ปี ในช่วงแรกสุนัขตัวนี้ไม่ค่อยอยากทำตามที่เจ้านายพยายามฝึกให้ทำ แต่พอมันเริ่มคุ้นเคยกับวินัยที่ถูกฝึก และได้เห็นผลจากสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว มันก็ตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นไปมาทั่วไปหมด

บ่อยครั้งที่เวลาเราได้รับผลจากการกระทำแล้ว สติและความคิดของเราจะเปลี่ยนไป นั่นเป็นเรื่องปกติ วิธีอื่นนั้นยากที่จะทำให้เราคลายความสงสัยในความคิดของเราไปได้ หลายครั้งการศึกษาค้นคว้าก็อาจเป็นวิธีหนึ่งที่เราใช้ไขข้อข้องใจ แต่นั่นก็อาจไม่ได้ผล การได้รับผลและเข้าใจในทุกอย่างด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่สร้างศรัทธาที่แท้จริงให้กับเรา 
​
Picture

​เบื้องต้นทั้งหมดอาจเริ่มจากสิ่งนี้ จากการรวบรวมสติง่ายๆ ให้อยู่กับปัจจุบันขณะ และคงไว้อยู่อย่างนั้น ไม่ให้สติเผลอไผลไปคิดเสียใจกับอดีตหรือคิดหวังกับอนาคต ปล่อยความคิดให้สบายอยู่กับสติ เคารพสตินั้น และเคารพความอ่อนไหวที่มีอยู่ภายใน ให้ค่ากับสิ่งนั้น ทำให้ความอ่อนไหวนั้นสงบ ไม่ร้อนรน เราจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร คำตอบคือ ด้วยการเจริญสมาธิ ให้สติได้สงบ ด้วยการหายใจเข้า หายใจออก นอกจากนี้ยังทำได้ด้วยการพิจารณา พิจารณาถึงลักษณะของสภาวะอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้ พิจารณาธรรมชาติของอารมณ์ที่คอยไล่ตามความหงุดหงิดใจอยู่เสมอ อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ไม่เคยอยู่กับเรา ไม่จีรัง เราจึงควรหันหลังให้กับสิ่งเหล่านี้เสีย

เมื่อนั้นการให้ความสำคัญของเราก็จะเปลี่ยนไป วัตถุประสงค์ในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ก็จะเปลี่ยน เราจะไม่มองดูสิ่งรอบตัวเพื่อความอภิรมย์ แต่จะใส่ใจกับสิ่งนั้นด้วยวิถีแห่งปัญญาและกุศลในที่สุด

​




อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai


A Buddhist attitude : ทัศนคติแห่งพุทธ

28/9/2018

 
“ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” อาตมาอยากจะพูดถึงทัศนคติของชาวพุทธที่มีต่อการใช้ชีวิตสัก 2-3 ข้อ เป็นทัศนคติที่เป็นอุบายแห่งชีวิต

ทัศนคติที่ดีที่สุดที่อาตมาเคยเห็น เป็นตัวหนังสือที่แขวนรออาตมาอยู่นิ่งๆ บนต้นไม้ในวัดที่ประเทศไทย เขียนเอาไว้ว่า “ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด”

ตัวหนังสือประโยคนี้ถ่ายทอดใจความคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกให้เราทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตตามอุบาย ค้นหาความสุขของตน ความสุขของผู้อื่น ด้วยหนทางแห่งปัญญา แต่ขณะเดียวกันก็จงยอมรับให้ได้ว่า อะไรจะเกิด ก็ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ โลกนั้นใหญ่กว่าตัวเราเอง มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ ที่เราทำได้ คือ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เจตนาที่ดีจะทำให้เราพบกับผลลัพธ์ที่ดีในความคิดและในใจของเราเอง

การผนวกสองสิ่งเข้าด้วยกัน คือ การทำให้ดีที่สุด และการยอมรับว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เป็นสิ่งที่ต้องฝึกเป็นขั้นตอนแรกในการเจริญสมาธิ อุบายนี้อาจเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะกำหนดจิตของเราให้มีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การพิจารณาลมหายใจเข้าออก เป็นต้น เมื่อจิตของเราไม่อยู่นิ่ง เราก็ต้องใช้ความอดทนในการดึงให้จิตกลับมาที่สมาธิอีกครั้ง การจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยความพยายามและการยอมรับให้ได้ว่าอะไรจะเกิดก็ย่อมต้องเกิด เพื่อจิตที่กำลังเตลิดอยู่นั้นจะไม่เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่าเดิม เวลาที่จิตเราเตลิดไปนั้น เราต้องไม่คิดโทษตัวเอง เราต้องอดทนและค่อยๆ เริ่มต้นทำสมาธิใหม่อีกครั้ง ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมีในการนำเอาแนวคิดทั้งสองสิ่งนี้มาผนวกกันเป็นทัศนคติที่รู้แจ้งของเราเอง

ถ้าเรามีความอดทนในการพยายามให้ถึงที่สุด ก็จะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันขณะ เมื่อเราไม่รีบร้อน เราก็จะยังอยู่กับปัจจุบันได้ สิ่งนี้เองที่จะช่วยฝึกให้จิตของเรามีสติ และอ่อนโยนลง จนยอมรับได้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สำหรับจิตที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเราพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่เกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เราอาจหงุดหงิด เบื่อหน่าย และแล้วในที่สุดเราก็อาจจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ท้ายที่สุดแล้ว เราอาจจะนั่งเจริญสมาธิจนสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือ การไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้าเราเจริญสมาธิตามวิถีที่ถูกต้อง วิถีแห่งปัญญา เราก็จะสามารถละทิ้งความคาดหวังไปได้ เราจะค่อยๆ ปล่อยวางแต่ขณะเดียวกันก็ยังคงพยายามต่อไป

ทุกวันนี้หลายคนอาจสับสนกับคำสอน บ้างก็มุ่งเน้นให้มีความพยายาม บ้างก็ว่าความพยายามไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรือแม้แต่อาจส่งผลในทางตรงข้าม หรือว่าจิตมนุษย์นั้นบริสุทธิ์อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องพยายามอีก ที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามก็มักจะเป็นเพราะคนเหล่านั้นคิดว่าเราอาจใช้ความพยายามโดยปราศจากปัญญา ไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องพยายาม เราจำเป็นต้องใช้ความพยายาม แต่ความพยายามนั้นต้องประกอบไปด้วยปัญญา จึงจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีได้

ยังมีที่ให้จิตของเราได้ไปสำรวจอีกมากมาย เป็นที่ที่น่ารื่นรมย์กว่าที่จิตดำรงอยู่ในขณะนี้และเป็นที่ที่คุ้มค่ากับการนำพาจิตให้เดินทางไป เรานำพาจิตของเราได้โดยอาศัยความพยายามและการปล่อยวางในเวลาเดียวกัน สองสิ่งนี้จะไม่ขัดแย้งกันและจะทำงานสอดผสานกันถ้าเรามีความอดทน เมื่อมีความอดทนความพยายามของเราก็จะไม่ไปรบกวนหรือทำให้จิตฟุ้งซ่าน

นี่คือสิ่งที่อาตมาเรียกว่าทัศนคติโดยรวมแห่งพุทธที่มีต่อการใช้ชีวิต เป็นทัศนคติง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก เห็นได้จากตัวอย่างในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา อย่างเช่น ประเทศไทย ที่คนโดยมากหมั่นทำความดี แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ การทำความดีไม่จำเป็นต้องจริงจังหรือเสียสละตนเองเสมอไป การทำความดีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก การใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปควบคุมกะเกณฑ์อะไร

วัฒนธรรมของชาวพุทธยังยอมรับความคิดหรืออาจจะเป็นความจริงที่ว่า ความสุขบางประเภทอยู่เหนือกว่าความสุขทางประสาทสัมผัส ความเป็นไปทุกอย่างในโลกไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ความสุขสูงสุดในชีวิต เราใช้ชีวิตกับความเป็นไปต่างๆ บนโลก แต่เราไม่ได้แสวงหาวิธีเติมเต็มตัวเราเอง เราทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไป เพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้ดำเนินชีวิตต่อไป แต่ความสุขสูงสุดของเราอยู่ที่อื่น เป็นความสุขทางจิตที่ให้ค่าความสำคัญกับสิ่งต่างๆ แตกต่างออกไป ความพยายามที่เกิดจากปัญญาในการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดไม่ได้หมายถึง การหาเงินให้ได้มากที่สุด หรือการไปสังสรรค์ตามงานปาร์ตี้ให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การบ่มเพาะความสุขที่เกิดจากปัญญา ซึ่งเป็นความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริ






อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา

อาจารย์กัลยาโณ
​

​
ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่:

www.openthesky.co.uk/thai




    พระอาจารย์กัลยาโณ
    พระเถระในสายหลวงพ่อชา สุภัทโท และเป็นเจ้าอาวาสของวัด
    โลกุตตรวิหาร ในประเทศนอร์เวย์​ ก่อนบรรพชา ท่านเป็นชาวพุทธที่ฝึกปฎิบัติ
    ตั้งแต่อายุ 17 ปี  เส้นทาง
    การปฎิบัติและความสนใจของท่าน ได้นำท่านให้ทำงานในโรงพยาบาลมาเกือบยี่สิบปี


    Categories

    All
    จาก"สายธารแห่งธรรม"
    วีดีโอ
    บทความ "ช่วงเวลาวิกฤต"
    งานศิลปะ
    ธรรมปรารภ
    ชีวิตส่วนตัว
    โพสการ์ดธรรมะ

Powered by Create your own unique website with customizable templates.
  • Home
  • Artwork
    • Introduction
    • Art
    • DHAMMA POSTCARDS
  • Videos
  • Poetry & prose
  • Articles
  • Dhamma books
  • Talks
  • Latest
  • Other languages
    • Thai
    • Norsk
    • Italian (Link)