Keeping The Thread: รักษาสายธารแห่งธรรม Direct Knowledge: ความรู้แจ้ง ในความเป็นจริง เป็นไปได้ที่มนุษย์จะมีมุมมองที่เที่ยงตรงต่อจิตใจ มากกว่ามุมมองที่มีต่อดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรืออื่นๆ อาตมาอยากจะกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กับความรู้ด้านจิตวิญญาณสักเล็กน้อย ในทางวิทยาศาสตร์ มีความรู้สองแบบที่แตกต่างกัน คือความรู้ที่เกิดจากความคิดเห็นของมนุษย์ปุถุชน (Subjective Knowledge) และความรู้ที่เกิดจากผลการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ (Objective Knowledge) ซึ่งเป็นความจริงที่อยู่นอกเหนือมุมมองของบุคคลใดบุคคลหนึ่งและมีจุดยืนที่เป็นอิสระ ในทางวิทยาศาสตร์ ความรู้แบบที่ 2 ได้รับการยกย่องว่าเหนือกว่าแบบแรก แต่แนวโน้มเป็นไปได้มากที่จะมีอคติของมนุษย์เป็นองค์ประกอบ ซึ่งยากที่จะกำจัดให้หมดไป เช่น เมื่อเรามองดวงดาวผ่านกล้องโทรทรรศน์ เพื่อทำแผนที่การเคลื่อนที่ของหมู่ดาว ซึ่งต้องใช้ดวงตามนุษย์มองผ่านกล้องโทรทรรศน์นั้น ความผิดพลาดจากมนุษย์จึงคืบคลานเข้ามา ความคิดเห็นส่วนตัวแทรกเข้ามา วิทยาศาสตร์จึงไม่เคยเอาชนะข้อบกพร่องนี้หรือก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ไปสู่ความรู้ที่แท้จริง ที่อยู่เหนืออคติของมนุษย์ได้ แล้วเป็นไปได้หรือที่เราจะเห็นจิตใจตามความเป็นจริง เราจะมีมุมมองนั้นได้อย่างไร เพราะจิตใจเกี่ยวข้องกับความรู้สึกและความคิดเห็นของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ในความเป็นจริง มนุษย์สามารถมีมุมมองที่เที่ยงตรงต่อจิตใจ มากกว่ามุมมองที่มีต่อดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรืออื่นๆ เราสามารถรู้สภาวะของจิตใจได้อย่างแจ่มชัดมากกว่าอย่างอื่น เราอาจคิดว่าเรารู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ แต่แท้จริงแล้ว เรารู้จิตใจเรามากที่สุด ขอให้มั่นใจ ถ้าเราสามารถเห็นสภาวะของจิตใจอย่างแจ่มชัด และแยกแยะมันได้ มันจะเกิดความสว่างขึ้นในใจ เราอาจอุทานขึ้นว่า "ใช่แล้ว..นั่นไง" และเราก็เริ่มมีความมั่นใจว่ามองเห็นสภาวะของจิตแบบหนึ่ง ซึ่งต่างกับอีกแบบหนึ่ง มันเป็นปัญญาญาณ (Intuition) ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปัญญาที่ลึกลับซับซ้อน แต่สว่างชัดมาก เราสามารถเห็นจิตที่เป็นกุศลและอกุศลเหมือนกับเป็นสัตว์คนละชนิดกัน ยิ่งปฏิบัติมากขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งเห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้น กุศลจิต มักจะเปิดกว้าง สว่างไสวและแจ่มชัด ขณะที่อกุศลจิตมักจะอัดแน่น มืดทึบ และห่อเหี่ยว สภาวะจิตที่สว่างหรือมืด สงบหรือกระวนกระวาย จะแสดงให้เราเห็นได้อย่าง แจ่มชัดในจิตใจ เราไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปสู่โลกแห่งศีลธรรมหรือโลกแห่งการตัดสินว่าถูกหรือผิด เพื่อจะเห็นผลของความคิด หรือการกระทำด้วยตัวเราเอง กุศลจิตจะนำไปสู่จิตใจที่เปิดกว้าง นิ่ง สงบ ราบเรียบ และสว่าง ขณะที่อกุศลจิตจะนำไปสู่ความเศร้าหมอง หงุดหงิด มืดมน น่ากลัวและลึกลับ คล้ายๆกับโลกมายากล หรือเวทมนตร์ จิตที่มืดมนจะถูกเปิดสู่ความสว่างด้วยกุศลจิต พลังแห่งคุณความดีเอาชนะความชั่วร้ายได้เสมอ เหมือนความสว่างที่ไล่ความมืดมน ไล่อกุศลออกไปจากจิตใจ จิตไม่ถูกล่อลวงหรือถูกปกคลุมด้วยหมอกควันของอกุศลจิต เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆเราจะสังเกตว่าสามารถพูดถึงสภาวะของจิตตามความเป็นจริง โดยไม่มีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง เราสามารถตระหนักรู้ถึงพลังมืดโดยไม่ให้ค่าว่าอยู่ข้างในหรือข้างนอกตัวเรา เราสามารถระลึกรู้ถึงมารหรือพายุอารมณ์ที่กำลังพาเราหลงทางไปทางใดทางหนึ่งด้วยใจที่เป็นกลาง ระลึกรู้ถึงควันมืดที่ปกคลุมจิตใจ ไม่ให้เราเห็นแจ้งในความจริง และในทางตรงกันข้าม จิตที่สว่างจะทำให้เรากระจ่างชัดในความจริง และสามารถปัดเป่าความมืดมนออกไปได้ ในทางจิตวิทยาอาจกล่าวในทำนองว่ากิเลส หรือ อกุศลจิต เป็นเหมือนม่านหรือเกราะป้องกัน ที่คอยปกปิดไม่ให้เรารู้ถึงการเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงความเป็นอนิจจังในตัวเรา ซึ่งมองดูเหมือนเป็นความหวังดี เพราะถ้าความตายเป็นเรื่องเศร้าหมอง เราอาจคิดว่า จิตของเราหวังดี พยายามซ่อนความจริงนี้ไว้ไม่ให้เราเป็นทุกข์ ในความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น จิตที่ผ่องแผ้วจะสามารถเปิดให้เราระลึกรู้ถึงความไม่เที่ยงเป็นอนิจจัง เป็นสัจธรรมว่า กายนี้ไม่ใช่ของเรา และจะไม่ปกปิดความจริงอันนี้ไว้ เป็นไปได้ที่บางทีพลังของอกุศลจิตเหมือนจะพยายามเกื้อกูลเรา ด้วยการซ่อนความจริงที่เรามักมองไม่เห็นหรือไม่ควรเห็นไว้ เพราะมันจะทำให้เราทุกข์ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรารู้แจ้งในความจริงของกายว่าเป็นอนิจจัง มันกลับไม่ทำร้ายเรา แต่กลับจะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ เมื่อเราเริ่มเข้าใจตรงนี้ เราจะกระจ่างในกลลวงของสภาวะจิต ที่แท้จริงแล้วไม่ได้พยายามปกป้องเราจากสิ่งที่มันคิดว่าเราไม่สามารถรับมือได้ แต่กลับพยายามหลอกล่อเราให้มองเห็นสิ่งที่ไม่เป็นจริง ไม่ให้เห็นกระจ่างชัดในความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจังของร่างกาย หรือความตาย การเห็นตามความเป็นจริงเช่นนี้ เป็นสิ่งที่งดงาม บ่อยครั้งคนที่ถูกวินิจฉัยว่ารักษาโรคไม่ได้ ถ้าไม่ทำให้เขาสิ้นหวังไปเลย ก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนมีชีวิตใหม่ ด้วยการหันหน้าเข้าหาธรรมะ ใช้ชีวิตที่มีคุณค่ามากขึ้น และถ้าเขาตระหนักรู้ในความไม่เที่ยง ความเป็นอนิจจังได้ เขาจะเลิกกลัวความตายในที่สุด อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai Comments are closed.
|
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|