ใกล้ค่ำวันหนึ่งในฤดูหนาวที่วัดโลกุตตรวิหาร ท้องฟ้าเป็นสีเทาจางๆ ในบรรยากาศที่สงบนิ่ง ขณะนั้นเป็นช่วงปฏิบัติธรรมฤดูหนาวของพวกเรา เย็นวันนั้น อาตมาเดินออกจากกุฎิมุ่งหน้าไปยังศาลา เพื่อนั่งสมาธิตอนสี่โมงเย็น เมื่อใกล้ถึงศาลา อาตมามองเห็นนกตัวใหญ่มากตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือขอบสนามหญ้า อาตมาเดินเข้าไปใกล้ พร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ที่นกตัวนี้เป็นนกฮูกตัวใหญ่ ใหญ่ที่สุดเท่าที่อาตมาเคยเห็นมา สีเทาของนกฮูกช่างเหมือนกับท้องฟ้าในเวลานั้น มันกำลังมองตรงมาที่อาตมาด้วยสายตาที่แหลมคมแต่เบิกกว้าง ทันทีที่มันกระพริบตา อาตมารู้สึกตัวแข็งทื่อขึ้นทันที นกฮูกเป็นสัตว์พิเศษสำหรับอาตมา ตั้งแต่โยมพ่อได้อ่านนิทานวินนี่เดอะพูห์ให้ฟังตอนเป็นเด็ก นกฮูกก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาสำหรับอาตมาเป็นต้นมา ดูเหมือนว่านกตัวนี้ จะทำให้บรรยากาศในช่วงบ่ายของฤดูหนาวนั้นพิเศษอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน - จิตใจของอาตมาสว่างไสวและสงบสุข อาตมารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและสถานที่แห่งนี้ ในช่วงเวลาที่ฉากตรงหน้าปรากฏให้เห็น อาตมารู้สึกราวกับว่ามันเป็นความฝันที่ชัดเจน และสว่างไสว มือของอาตมาเย็นเฉียบ ขณะนั้นเอง อาตมาเหลือบเห็นพ่อขาวมิชชา กำลังเดินเข้ามาในทิศทางที่อาตมายืนอยู่ อาตมากวักมือเรียกให้เขาเดินช้าลง พร้อมกับชี้ให้ดูนกฮูกที่กำลังบินถอยกลับไปที่ต้นไม้ด้านหลังเล็กน้อย อาตมาถึงกับอ้าปากค้างกับขนาดและการบินอย่างช้าๆและเงียบเชียบของมัน ขณะที่อาตมาแผ่เมตตาให้นกตัวใหญ่นั้น มันก็หันหน้ามาทางอาตมาและบินเข้ามาใกล้อีกนิดหนึ่ง ถึงตอนนี้ อาตมารู้สึกเสมือนต้องมนต์ และจะไม่แปลกใจเลยถ้านกตัวนั้นเปล่งเสียงพูดออกมา อาตมาหันไปหามิชชา “อาตมาคิดว่าต้องมีอะไรพิเศษเกิดขึ้น” อาตมารู้สึกประหลาดใจในคำพูดของตัวเองยิ่งนัก คำพูดนั้นดูเหมือนจะหลุดออกมาจากปากของอาตมาเอง นกฮูกตัวนั้นบินผ่านหลังวัด ก่อนจะบินหายเข้าไปในป่า “อาตมาคิดว่าต้องมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแน่ๆ” อาตมาพูดซ้ำกับมิชชา “อาตมาไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้ แต่มีบางอย่างที่เป็นมงคลเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ทำให้พูดเช่นนั้น” อาตมาเดินกลับไปที่กุฏิโดยไม่ได้เข้าร่วมนั่งสมาธิ อาตมาจ้องมองผ่านหน้าต่างไปในทางที่พระอาทิตย์กำลังตก และสาดแสงสีแดงเข้มอย่างสวยงาม แต่อาตมาก็ยังคงหยุดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อมาในเย็นวันนั้นเอง อาตมาก็ได้รับอีเมลล์จากผู้สนับสนุนใจดี แจ้งว่า เขาตัดสินใจที่จะบริจาคปัจจัยสร้างศาลาบนเนินเขาหลังวัด อาตมารู้สึกตกตะลึง คิดถึงแต่นกฮูกตัวนั้น อาตมารู้ว่ามันบินตรงไปในทิศทางที่เราวางแผนจะสร้างศาลา อาตมารู้สึกอัดอั้นใจและอดที่จะเขียนถามกลับไปในทันทีไม่ได้ว่า “มีอะไรเกิดขึ้นกับทางโยมเวลาประมาณ 16.00 น. หรือไม่” “นั่นคือเวลาที่ผมตัดสินใจบริจาคเงินสร้างศาลาครับ” เขาตอบ ดูเหมือนว่าวันนั้นในฤดูหนาวมีสิ่งพิเศษเกิดขึ้นจริงๆ อาตมาหวังว่าสักวันหนึ่ง จะมีผู้มาบรรยายธรรมให้รู้แจ้งในศาลาหลังใหม่นี้ ให้คู่ควรกับสาส์นและผู้ส่งสาส์นดังกล่าว หากเป็นเช่นนั้นจริง ดูเหมือนว่าพระธรรมมาถึงนอร์เวย์ด้วยวิธีที่พิเศษมาก ในทางที่ธรรมชาติรับรู้ได้ บางทีเราอาจจะแกะสลักรูปนกฮูกเพื่อประดับศาลาหลังใหม่ในรูปแบบของ 'นอร์ส-เถรวาท ' หรือไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บางทีเราก็อาจจะยังคงทำเช่นนั้นอยู่ดี วิดีโออาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai สมัยที่อาตมาศึกษาเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ (กายวิภาคศาสตร์) ทุกสัปดาห์ อาตมาจะมีชั่วโมงเรียนในห้องเก็บศพ เพื่อศึกษาชิ้นส่วนต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ มีแขนบ้าง หัวบ้าง เป็นต้น ไม่ว่าอาตมาจะพยายามมองให้เห็นเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากแค่ไหน มันก็ยังเป็นประสบการณ์ที่ท้าทาย และต้องเผชิญหน้ากับอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาอยู่เสมอ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของอาตมามักจะไปเข้าผับหลังชั่วโมงเรียนนี้ แต่เพราะอาตมาไม่ดื่มเหล้า อาตมาจึงมักจะกลับไปที่ห้องคนเดียวเพื่อนั่งสมาธิ วันหนึ่งอาตมาใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเอ็นกล้ามเนื้อขาของศพ และทำความคุ้นเคยกับเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อจะได้รู้สึกถึงโครงสร้างที่แตกต่างกันภายใต้ผิวหนังของผู้ป่วยที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นช่วงที่อาตมาได้สัมผัสกับศพอย่างใกล้ชิดที่สุด อาตมาเดินออกจากห้องเก็บศพด้วยความรู้แปลกและสับสน ขณะที่เดินไปตามท้องถนนบนทางกลับบ้านนั้น อาตมารู้สึกถึงขาของอาตมาที่กำลังเดินอยู่ และที่ทำให้อาตมาประหลาดใจอย่างยิ่ง คือภาพสรีระภายในขาข้างหนึ่งของอาตมา ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน เหมือนภาพจากเครื่องเอกซเรย์ อาตมาเห็นเอ็นกล้ามเนื้อต้นขาทำงานภายใต้แสงสว่างเรืองรอง ชั่วขณะนั้น อาตมารู้สึกถึงความสว่าง และความเป็นอิสระในใจอย่างบอกไม่ถูก อาตมาไม่เคยรู้สึกเป็นสุขเช่นนั้นมาก่อน แต่ไม่รู้ว่าทำไม วินาทีนั้น เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของอาตมา ส่วนหนึ่งของอาตมา ส่วนที่ได้เติบโตและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ได้พยายามค้นหาความรู้สึกอิสระเช่นนั้นเรื่อยมา ขอฝากไว้เป็นข้อคิด อาจารย์กัลยาโณ หลายปีมาแล้ว ก่อนที่อาตมาจะบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ อาตมาเดินทางท่องเที่ยวไปในภาคใต้ของประเทศชิลี ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงคืนหนึ่ง อาตมามีความฝันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและกระจ่างชัดมากว่า อาตมากำลังป่วย ผิวหนังเต็มไปด้วยหูด กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระอาจารย์สุเมโธ ซึ่งเป็นครูสอนธรรมะของอาตมาในตอนนั้น ทันใดนั้นเอง ก็ดูเหมือนว่า มีแสงพุ่งออกมารักษาอาตมาให้หายจากความเจ็บป่วยในทันที เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่อาตมาเดินไปกับเพื่อนชาวชิลี อาตมาเริ่มเกาหูด ที่อยู่บนมืออาตมา มาเกือบ 2 ปีแล้วด้วยความเคยชิน และนึกถึงความฝันเมื่อคืน ทันใดนั้นหูดบนมือก็หลุดออกไปทันที อาตมารู้สึกมึนงง หยุดเดินและหันไปมองหน้า เพื่อนร่วมทางซึ่งกำลังยิ้มให้อาตมา ก่อนที่อาตมาจะมีโอกาสได้เล่าเรื่องความฝันเมื่อคืนก่อนให้เธอฟัง เธอบอกว่า ในเวลากลางคืน เธอได้นำเส้นด้ายจากเสื้อของอาตมาไปฝังไว้ในดินพร้อมกับร่ายคาถาบางอย่างลงไป เธอรู้จักอาตมาดี และรู้ว่าอาตมามีภูมิหลังด้านวิทยาศาสตร์ เธอจึงรู้สึกยินดีที่ได้แสดงให้อาตมาได้เห็นว่า ชีวิตมีความอัศจรรย์มากกว่าที่อาตมาคิด แต่อาตมากลับคิดถึงแต่พระอาจารย์สุเมโธ หลายปีต่อมาหลังจากอาตมาบวชเป็นพระภิกษุแล้ว อาตมาได้มีโอกาสเล่าเรื่องความฝันนี้ให้พระอาจารย์สุเมโธฟัง ท่านหัวเราะ และพูดว่า "ใช่แล้วกัลยาโณ ในเวลากลางคืน ผมบินไปทั่วโลก เพื่อรักษาคนทั้งหลายจากโรคหูด" แม้ว่าอาตมาจะไม่สามารถทำให้ท่านรู้สีกจริงจังไปกับเรื่องนี้ได้ แต่เพราะความฝันนั้น และในเวลาต่อจากนั้น ที่ทำให้อาตมารู้สึกเหมือนได้รับการเยียวยา และเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้อาตมา ทำให้อาตมาตัดสินใจบวชกับท่าน เพราะความมหัศจรรย์นั่นเอง ขอฝากไว้เป็นข้อคิด อาจารย์กัลยาโณ อาตมาเคยทำงานในโรงพยาบาลและถังแตกอยู่เสมอๆ 7 ปีที่อาตมาอาศัยอยู่ในแฟลต อาตมาไม่รู้จักใครเลย ทุกคนต่างก็สนใจแต่เรื่องของตัวเอง และไม่มีใครได้เคยพูดคุยกับตำรวจ เพราะไม่มีตำรวจมาที่แฟลตนั้นเลย
บางครั้งในฤดูหนาว ลิฟท์ใช้การไม่ได้ คนชราที่อาศัยอยู่ต่างก็คอยให้ช่างมาซ่อมด้วยความอดทน เขาพูดตลกกันเพื่อให้ลืมความหนาว อาตมารู้สึกนับถือพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เคยพูดกับใครเลย เพราะอาตมารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก สิ่งทั้งหลายที่ได้พบเห็น มันเป็นจริงจนทำให้อาตมาเลิกอยู่กับความคิดที่เป็นอุคมคติ และเริ่มเรียนรู้ว่า อาตมาไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าคนอื่นเลย ความคิดที่ค่อยๆเกิดขึ้นนี้ทำให้อาตมารู้สึกเคารพตัวเองมากขึ้น เมื่ออาตมาบอกแฟนที่ชอบทำตัวหรูหราว่าอาตมามีความคิดเช่นนี้ เขาจากไปทันที เขาอาจจะกำลังหวังอยู่ว่าจะได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่อาตมาก็ยังอยู่ต่อที่เดิม อาตมาคงจะไม่ชอบนัก ถ้าถูกตามใจจนเสียนิสัย บางครั้ง อาตมาอยากกลับไปที่แฟลตนั้นอีกเพื่อจะได้รู้สึกไม่มีตัวตนอีกครั้ง แต่ในฐานะพระสงฆ์ อาตมารู้ว่า อาตมาสามารถเป็นคนไม่มี(อัตตา)ตัวตนได้จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงรู้สึกเท่านั้น แม้ว่าอาตมาจะยังมีรูปร่างเหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ก็ตาม อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai เหมันต์ปี 2555 อากาศค่อนข้างหนาวทีเดียวสำหรับการเจริญกรรมฐาน อาตมาใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งสมาธิและออกกำลังกายเพื่อให้มีเรี่ยวแรงปฏิบัติธรรมต่อไป วันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน อาตมาทราบว่ามีญาติโยมนำศพมาไว้ที่วัดเพื่อรอประกอบ ศาสนพิธี อาตมาจึงปฏิบัติสิ่งที่ทำเป็นประจำคือการแผ่เมตตาให้ร่างไร้วิญญาณ วันนั้นอาตมาพบว่ารู้จักผู้ตายมาก่อน เราเคยพบกัน 2-3 ครั้ง เขาได้ชื่อว่าเป็นบุคคลที่คลั่งไคล้การออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ ภาพถ่ายของเขามักปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นอยู่เสมอ ในฐานะเป็นผู้ทุ่มเทให้กับกิจกรรมการกุศลอย่างสุดโต่ง แต่หลังจากเขาเสียชีวิตมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นเช่น ก่อนนำร่างของเขามาที่วัดพระพุทธรูปภายในห้องตั้งหีบศพหล่นลงมาแตกหัก อาตมาทราบมาว่าเขาเผชิญกับอาการทางระบบประสาทที่น่าตกใจและจากโลกนี้ไปอย่างทุกข์ทรมาน อาตมาจึงเกิดความสงสัยว่า เป็นไปได้หรือไม่สิ่งที่เขาประสบก่อนเสียชีวิตทำให้เขาหมดความศรัทธาในเป้าหมายที่มุ่งมั่น จึงแสดงออกให้ทุกคนรับรู้หลังจากโลกนี้ไปด้วยวิธีต่างๆ อาตมากลับไปยังกุฏิกลางป่าเพื่อบำเพ็ญสมาธิภาวนาด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เมื่อพิจารณาถึงการออกกำลังกายของตัวเองและผู้ตาย อาตมาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมรำพึงออกมาว่า "เราจะทำไปเพื่ออะไร" แต่อาจเป็นเพราะอานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม รวมทั้งพิจารณาสังขารและเจริญมรณสติในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อาตมาจึงรู้สึกขบขันกับความคิดของตัวเอง ทันใดนั้นคลื่นแห่งปีติได้แผ่กระจายไปทั่วจิต ความสุขและแสงสว่างอาบทั้งร่างอย่างเหลือเชื่อ ราว 2-3 นาทีถัดมา ภาพของพระอาจารย์อนันต์ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของอาตมาปรากฏขึ้นอย่างแจ่มชัดพร้อมยิ้มกว้าง เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านแสดงให้อาตมาเห็นว่า "ท่านเองก็รู้สึกเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา" สองปีต่อมา อาตมาเดินทางไปเมืองไทยจึงมีโอกาสถามพระอาจารย์อนันต์เกี่ยวกับประสบการณ์ดังกล่าว อาตมาอยากทราบว่าท่านรู้สึกเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลาจริงหรือไม่ เมื่อท่านตอบว่า "ใช่" จึงทำให้อาตมาแปลกใจมาก ท่านก้มลงมองลึกเข้าไปในจักษุของอาตมาพลางพูดว่า "กัลยาโณ นั่นเป็นนิมิตหมายที่ดีที่สุดแล้ว" นับแต่จุดนั้นเป็นต้นมา อาตมาหวนรำลึกถึงเหตุการณ์นี้อยู่เสมอ เพราะสิ่งที่อาตมาเพียรกระทำอยู่เป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยกำลังใจจากทุกแห่งหนเท่าที่พอหาได้ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา Aj. Kalyano 20 มีนาคม 2557 ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai |
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|