"ใจคน มักจะชอบมองหาแต่สิ่งที่ทำให้ตนพอใจ"
มีพระรูปหนึ่งในวัดเคยถามอาตมาอย่างสิ้นหวังว่า "ความคิดต่างๆที่เข้ามารุมเร้ารบกวนจิตใจผมมันมาจากไหน" คำถามนี้เป็นคำถามที่ดีมากทีเดียว ความคิดต่างๆเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่มักจะคอยปรุงแต่งเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา เพราะจิตมุ่งแต่จะมองหาสิ่งที่ชอบและหลีกเลี่ยง-ผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ การปรุงแต่งกับสิ่งเหล่านี้จะมีอิทธิพลกับชีวิตเราอย่างมาก ถ้าจิตของเราคอยแต่จะวิ่งตามมันอยู่ตลอดเวลา ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความคิดของตนเป็นแรงขับเคลื่อนการดำเนินชีวิตอย่างอัตโนมัติ ด้วยการถูกดึงดูดเข้าหาสิ่งที่ตนพอใจและจะผลักไสสิ่งที่ไม่น่าพอใจอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในวัฒนธรรมสมัยใหม่ในยุคปัจจุบัน ที่คนทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญกับวัตถุ การมานั่งนิ่งๆเพื่อฝืนกระแสและขัดเกลากิเลสตัวเอง จึงเป็นการฝืนใจอย่างยิ่ง เพราะมันขัดกับความเคยชินที่ปล่อยให้ความคิดโลดแล่นตามกิเลสไปอย่างอิสระ นอกเสียจากว่าเราจะรู้เท่าทันมันเสียก่อน ถ้าเรามองเห็นและยอมรับอย่างที่มันเป็น เราจะไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะมันเป็นเพียงแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นในใจ หรือเป็นเสียงเรียกร้องที่เกิดขึ้นในหัวของเรา เป็นอารมณ์หรือความรู้สึกต่างๆที่พยายามจะชักนำเราไปหาสิ่งที่ชอบ และผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ การฝึกให้เกิดสติอย่างต่อเนื่องจะทำให้เรารู้เท่าทันความความคิดปรุงแต่ง และสามารถปรับจิตใจให้สมดุลกับเป้าหมายทางธรรมได้ ซึ่งหมายถึงการเลือกสิ่งที่ทำให้พอใจ และผลักไสสิ่งที่ไม่น่าพอใจได้เช่นกัน แต่ในแบบที่ต่างไปจากเดิม ดังนั้นระบบการตอบสนองอัตโนมัติ จึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสียทีเดียว ถ้าเราฝึกให้มันตอบสนองไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เมื่อได้ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เราจะสามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เราเกิดความยากลำบากได้ เช่นการประพฤติผิดศีลเป็นต้น ถ้าเราตั้งมั่นรักษาศีลได้แล้ว เราจะปฏิเสธการไปในที่อโคจรเช่น การเข้าผับ เข้าบาร์ได้โดยง่าย เพราะเรารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสถานที่เช่นนั้น เราจึงหลีกเลี่ยงได้โดยอัตโนมัติ เหมือนเมื่อก่อนที่เราเคยเข้าผับเข้าบาร์ได้โดยไม่ต้องไตร่ตรอง แต่เมื่อเรายึดมั่นในศีล เราจะสามารถหันหนีจากสิ่งเหล่านั้นได้ทันทีเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน เพราะต้องสร้างรูปแบบ และการตอบสนองแบบใหม่ขึ้นในใจเรา คนทุกคนมีแรงผลักดันสองอย่าง หนึ่ง คือ มีความสุขที่มีชีวิตอยู่ในธรรม สอง คือการมองเห็นตัณหาที่เคยมี ในแบบที่ต่างไปจากเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือ มีความฉลาดในการมอง ถ้ามองเห็นและรู้เท่าทันมัน ตัณหาต่างๆเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น การมองเห็นเช่นนี้ ต้องอาศัยแรงจูงใจ เราต้องตระหนักว่า วิธีนี้จะพาเราไปสู่หนทางที่สงบ ร่มเย็น และเป็นสุข เพราะใจคนมักจะมุ่งหาสิ่งที่น่าพอใจสูงสุด เพียงได้รับรู้ถึงความสงบ ไม่เร่าร้อนด้วยตัณหา ก็เป็นความรู้สึกที่น่าพอใจประการหนึ่งแล้ว ถ้ามีใครสนใจใคร่รู้ ว่าความคิดที่ก่อกวนจิตใจเหล่านั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งหมดนี้คือคำตอบ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai Comments are closed.
|
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|