อาตมาคิดว่าตัวเองโชคดี ที่ได้ผ่านช่วงเวลาที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางความรู้สึกในประเทศอังกฤษ ในคริสต์ทศวรรษที่ 80-90 ก่อนหน้านี้ สังคมไม่ยอมรับให้ผู้ชายแสดงความรู้สึก โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เมื่อผู้หญิงเริ่มมองหาผู้ชายที่มีความอ่อนไหว จากนั้นจึงกลายเป็นแฟชั่นที่ผู้ชายสามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้ โศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของเจ้าหญิงไดอาน่า มีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดวิวัฒนาการการแสดงออกทางด้านอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชาย และทำให้เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น ดังนั้นในช่วงวิกฤตเช่นนี้ เราสามารถปล่อยตัวเองให้ร้องไห้แสดงความเสียใจร่วมกับคนอื่นๆได้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว ความสามารถในการสัมผัสกับความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์แทนที่จะต่อสู้กับมัน อาจเป็นสัญญาณของความเข้มแข็งได้เช่นกัน ในสายตาของอาตมา เราไม่ได้เป็นผู้ชายน้อยลงถ้าจะแสดงอารมณ์ออกมาบ้าง อย่างไรก็ตาม อาจเป็นไปได้ที่คนที่มีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง จะมีอารมณ์ที่แตกต่างจากคนปกติ หรือร้องไห้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างออกไป การรับรู้ที่แตกต่างกันนำไปสู่อารมณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมีมาตรฐานด้านอารมณ์ที่ถูกกำหนดโดยสังคม เราต้องเข้าใจว่าคนเรามีมุมมองที่ต่างกัน เราอาจมีคำถามกับการรับรู้ของเราหรือของคนอื่นในภายหลังได้ แต่กระดาษเช็ดน้ำตาควรต้องถูกหยิบยื่นให้ก่อนเสมอ การร้องไห้เพื่อตอบสนองต่อการรับรู้ที่ดีและจิตที่เป็นกุศล อาจเป็นคำจำกัดความทางจิตวิญญาณของเราเกี่ยวกับความหมายของ"การร้องไห้ที่ดี" ได้ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า การพลัดพรากจากคนที่เรารักเป็นทุกข์…. นั่นจริงแท้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสอีกว่า การมีกัลยาณมิตรเท่ากับการครองชีวิตที่ประเสริฐทั้งหมด ดังนั้น…. หากเรารวบรวมสิ่งที่พระองค์ตรัสทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน เราจะเห็นว่า การแก้ปัญหาเรื่องความเหงาของเรา คือการอยู่กับส่วนที่เป็นกุศลในตัวเราและระลึกถึงสิ่งดีๆจากคนที่เรารัก และเมื่อมองให้ลึกลงไป เราสามารถตระหนักได้ว่า กุศลจิตของเรานั้นมั่นคงเพียงใด เมื่อเราพบเพื่อนที่ดีแม้เวลาผ่านไปหลายปี เราก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับด้านที่ดีของพวกเขาได้ ราวกับว่าเราไม่เคยห่างกันเลย ดังนั้นการแก้ปัญหาเรื่องความเหงานี้จึงไม่ยากอย่างที่คิด เรื่องความเบื่อหน่ายก็เช่นเดียวกัน มันเป็นเพียงการให้บางสิ่งบางอย่างกับความเหงาของเรา มากกว่าที่จะตกเป็นเหยื่อของตัณหาซึ่งเป็นอกุศล การรักผู้อื่น การรักที่จะให้ และความรักในการให้ เป็นวิธีแก้ความเหงาของเราได้ดี อาตมาเคยฝึกอยู่คนเดียวหลายเดือนและไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยว มีเพียงตัณหาเท่านั้นที่ทำให้เหงา อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ทำไมเราจึงรู้สึกดี เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ? ธรรมชาติให้มากกว่าความผ่อนคลาย มากกว่าอากาศที่บริสุทธิ์และการออกกำลังกาย ให้มากกว่าความงาม มันทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้าน นี่เป็นเพราะร่างกายของเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยิ่งเราตระหนักรู้ทางกายมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเราทำสมาธิ ดูลมหายใจเข้าออก เราจะรู้สึกเสมือนมีสายลมพัดผ่าน และในขณะนั้น เราจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ใหญ่กว่า เราจะพบว่าเมื่อเราทำเช่นนี้ ความกังวลแม้ในยามวิกฤติ ก็เริ่มจางหายไป โดยเฉพาะเวลาที่เรากังวลเกี่ยวกับสุขภาพและร่างกาย ในส่วนลึก เราสามารถยอมรับสถานการณ์ และสภาพที่เป็นอยู่ พร้อมกับมองหาความสงบสุขภายในได้ ถ้าเราสามารถกลับมาอยู่กับร่างกายได้เช่นนี้ ความสงบสุขก็จะเกิดขึ้น เราจะรู้สึกพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจผ่านเข้ามา บางทีในส่วนลึกของเราอาจรู้ถึงผลที่จะได้รับจากการอยู่กับธรรมชาติ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงมุ่งหน้าเข้าป่าทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เราตระหนักถึงความสำคัญของการรู้ตัวทั่วพร้อมในการค้นหาความสงบสุขที่กำลังมองหาอยู่หรือไม่ และตระหนักได้หรือไม่ ว่ามันสามารถหยั่งลงลึกแค่ไหน? อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในแง่ของอนาคต ภายใต้ความไม่แน่นอนทั้งหมดทั้งปวง เราควรเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และอธิษฐานเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ... บางทีในทางโลก มนุษยชาติอาจจะหยุดและมอง ... เพื่อหาวิธีที่ดีกว่า ที่จะมีชีวิตอยู่ ... และบางที นี่อาจเป็นวิธีของเราที่จะให้เกียรติคนตาย ... และในด้านจิตใจ เราอาจเห็นความเป็นจริง ... และปล่อยวาง... อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai หนึ่งในทักษะที่เราสามารถพัฒนาได้ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม คือความสามารถในการหยิบบางสิ่งขึ้นมาเพื่อฝึกฝน และวางมันลง มันจะช่วยได้มากหากมีสิ่งประกอบภายนอกเป็นเครื่องเตือนใจ อาตมามั่นใจว่าหลายๆคนคงจะจำเรื่องราว ของคนงานที่ติดอยู่ในเหมืองในประเทศชิลี หรือเด็กๆที่ติดอยู่ในถ้ำในประเทศไทยได้ เมื่ออาตมาได้ยินเรื่องราวของสองเหตุการณ์นี้ อาตมาตั้งใจไว้ว่าจะสวดมนต์และแผ่เมตตาให้กับทุกคนที่ติดอยู่ รวมถึงครอบครัวของพวกเขาด้วย เมื่อมีคนนำรูปถ่ายจากหนังสือพิมพ์มาให้อาตมา อาตมาวางรูปนั้นไว้บนโต้ะหมู่บูชาในขณะที่ทำสมาธิยามบ่าย จากนั้น อาตมาจะเอารูปนั้นลงจนถึงวันรุ่งขึ้น ด้วยวิธีนี้ อาตมาสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และใช้รูปภาพเพื่อรวบรวมสมาธิ เพื่อแผ่เมตตาไปให้เขาเหล่านั้น เมื่อทำสมาธิเสร็จ อาตมาสามารถวางเรื่องเหล่านั้นลงได้ และไม่พกมันติดตัวไปด้วยตลอดทั้งวัน อันที่จริง อาตมาเรียนรู้วิธีนี้จากผู้ป่วยคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่อาตมายังเป็นนักเรียนอยู่ เขาสอนให้อาตมาเห็นความสำคัญของทักษะเช่นนี้ในแบบที่อาตมาไม่เคยลืม บ่ายวันหนึ่ง อาตมาพูดกับเขาด้วยความกระตือรือร้นว่า “ถ้ามีอะไรที่ผมสามารถทำให้คุณได้ ในช่วงที่ผมอยู่เวร กรุณาบอกผมนะครับ" ที่จริงสิ่งที่อาตมาสามารถทำให้เขาได้มีน้อยมาก และเขาก็รู้ดี เขาจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า “สิ่งที่คุณทำได้สำหรับผมเวลานี้คือ ออกไปเที่ยวคืนนี้และมีความสุขกับมัน" อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai เมื่อยามที่เรารู้สึกเศร้าโศก เราสามารถขจัดความเศร้าโศกและความทุกข์ทรมานออกจากจิตที่ปรุงแต่งได้ เพื่อไม่ให้มันดึงเราให้จมลงไปอีก โดยการฝึกอยู่กับความเศร้าอย่างมีสติ นี่เป็นการฝึกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเพื่อนพระชาวอิตาเลี่ยนที่ดีคนหนึ่งของอาตมา โดยนึกถึงความเศร้าว่า "เรื่องนี้ช่างน่าอับอายเสียจริง" พร้อมกับถอนใจออกมาเบาๆ หรือยอมรับความทุกข์ใจในทำนองว่า "มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ" ความเศร้าโศกอาจอยู่ในรูปแบบที่สวยงามด้วยความนิ่งและความว่าง ความอ่อนโยนเป็นยาแก้พิษความโกรธได้ เมื่อพบว่าตัวเราเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้นมา นอกจากนี้เรายังสามารถเปลี่ยนความเศร้าของเราด้วยลมหายใจ เพื่อให้มันอ่อนโยนและสงบได้ หยิบความเศร้าขึ้นมาขณะที่สูดลมหายใจเข้า ทำใจให้สบาย จากนั้นก็ปล่อยมันไป ขณะที่ทำใจให้สงบพร้อมกับหายใจออก ด้วยวิธีเหล่านี้ เราอาจแทนที่ความเศร้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ด้วยสภาวะจิตใจที่อ่อนน้อม ด้วยการยอมรับและความเห็นอกเห็นใจ บางทีเราอาจมีความสุขที่จะรู้สึกเศร้า เพื่อเห็นแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง - แต่อย่าให้เศร้าจนเกินไป อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ตอนนี้อาตมามีเหตุผลด้านสุขอนามัยเกี่ยวกับไวรัส ที่ทำให้ต้องรักษาความสะอาด อาตมายอมรับว่า ในฐานะผู้ชายชาวอังกฤษที่เป็นคนสมถะและสังคมนิยม อาตมาเคยไม่สนใจความสะอาดมากนัก แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเห็นคุณค่าของมัน อาตมาเคยชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อันประหลาด ระหว่างความสะอาดกับทัศนคติแบบอนุรักษ์นิยม ที่ปรากฏในการทดลองทางจิตวิทยาสองสามครั้ง และเคยพยายามอดทนอยู่กับคนที่มาจากวัฒนธรรมที่สะอาดกว่าอาตมา ถึงกระนั้น มันยังต้องใช้ช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ มองหาการรับรู้ใหม่ โดยใช้แนวทางทางพุทธศาสนา เพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เคยมี ความสะอาด ดูเหมือนจะถูกขัดเกลาให้รู้สึกดีขึ้นในจิตใจ อาตมาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ค่อยๆเกิดขึ้น ขณะทำกิจวัตรที่ละเอียดของสงฆ์ เช่นการล้างบาตรเป็นต้น ขณะที่ล้างมือ หรือทำความสะอาดทั่วๆไป อาตมาพบว่า ใจย้อนกลับไปนึกถึงเวลาที่ทหารทำความสะอาดรองเท้าบู๊ทของเขา ก่อนที่จะออกรบ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด โดยหวังให้สิ่งที่ดีที่สุดเกิดขึ้น แม่ของอาตมาเล่าว่า ทุกคนในครอบครัวเคยช่วยกันเตรียมความพร้อมของคุณตา ในการเข้าร่วมขบวนพาเหรด"Home Guard" ของทหาร ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แม่ของอาตมาซึ่งอายุเพียง 6 ขวบ เคยขัดรองเท้าและกระดุมทองเหลืองบนเสื้อโค้ทของคุณตา พวกท่านภูมิใจในตัวคุณตามาก ในเวลากลางคืน ทุกคนจะซุกตัวภายใต้เสื้อโค้ทหนาขนาดใหญ่ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เปรียบเสมือนการใช้จีวรของพระสงฆ์ ที่สวมใส่อย่างภาคภูมิในเวลาหนึ่ง และใช้เป็นผ้าปูที่นอนในเวลาต่อมา ในช่วงเวลาวิกฤต การต้องใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เป็นเสมือนยาถอนพิษของความหยิ่งและการยึดติด เราสามารถรู้สึกภูมิใจ แข็งแกร่ง และสง่างาม ได้โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของความหลง สิ่งเหล่านี้สามารถกลายเป็นคุณสมบัติของชุมชนเราได้ ไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัวเท่านั้น มันสามารถช่วยยกระดับจิตใจของพวกเราทุกคน ให้คลายกังวลในยามวิกฤตเช่นนี้ได้ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงการมองเห็นความเจ็บป่วยและความตาย ว่าเป็น 'สาส์นจากทูตสวรรค์' แต่ทำไมสวรรค์ถึงส่งสาส์นเช่นนี้มาให้เรา? ทำไมไม่ส่งสิ่งที่สวยงามมาเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นเครื่องนำทาง? คำตอบก็คือ เพื่อช่วยให้เราปล่อยวาง การปล่อยวางกายไม่ใช่เรื่องง่าย เพื่อนของอาตมาคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์ในแผนกผู้ป่วยหนัก เคยเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่งให้อาตมาฟังว่า มีชายคนหนึ่ง ห้อยอยู่บนขอบหน้าผาด้วยมือของเขา และกำลังจะตกลงมา เขาจึงตะโกนร้องด้วยความสิ้นหวังว่า.. “มีใครอยู่ข้างบนนั่นไหม!” จากนั้น พระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังก้อนเมฆ พร้อมกับพูดว่า "อย่ากลัวไปเลย! เจ้าจงปล่อยมือ แล้วเราจะช่วยเจ้าเอง!” ชายคนนั้นหยุดคิดไปชั่วขณะ และร้องตอบว่า “มีคนอื่นอยู่ข้างบนนั่นอีกไหม!” นั่นแสดงให้เห็นว่า การปล่อยวางกายเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก และนี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องมีสาส์น เช่นความเจ็บป่วยหรือความตาย เป็นเครื่องกระตุ้นให้เราปฏิบัติธรรม ในขณะที่เรายังทำได้อยู่ หากเราสามารถเผชิญหน้ากับสัญญาณเหล่านี้ และเรียนรู้วิธีที่จะปล่อยวางได้ เราจะพบกับความสงบสุขจากสวรรค์ ภายในใจที่เปิดกว้างและว่างเปล่า ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ การทำจิตใจให้สงบ โดยการทำสมาธิและเฝ้าดู จะเห็นกระบวนการของการปล่อยวาง ค่อยๆเกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai สถานการณ์ตอนนี้อาจดูค่อนข้างน่ากลัว เพราะอยู่ๆ เราก็ตกอยู่ท่ามกลางอันตรายที่เรามองไม่เห็น เราอาจต้องเปลี่ยนการรับรู้ที่เคยคิดว่าโลกนี้เป็นที่ที่ปลอดภัย มาเป็นโลกที่เราต้องดูแล อาตมาขอเล่าเรื่องดีๆสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่เพิ่มความน่ากลัว แต่อาจช่วยให้เราเปลี่ยนการรับรู้ที่ต่างไปจากบรรทัดฐานเดิม ลักษณะของเนื้อเรื่อง สอดคล้องกับสถานะการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ แม่ของอาตมาชอบเล่าเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งพิการทางสายตามาตั้งแต่เกิด เธอเคยไปเยี่ยมโรงเรียนประถมที่ท่านสอนเมื่อหลายปีก่อน เพื่อเล่าเรื่องชีวิตของเธอในฐานะคนตาบอดให้เด็กๆฟัง เธอมาพร้อมกับสุนัขนำทางของเธอ เด็กๆต่างก็ตื่นเต้นมาก ทั้งยังแปลกใจที่เห็นเธอยิ้มและมีความสุข เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องที่แย่มากๆถ้าต้องตาบอด หรือโดยทั่วไป คนป่วยก็น่าจะดูเป็นคนป่วย หรือรู้สึกป่วยสิ
เมื่อหลักสูตรสั้นๆนั้นจบลง หญิงสาวตาบอดต้องการมอบประกาศนียบัตรให้แก่เด็กๆ โดยยื่นมือที่ถือกระดาษใบนั้นออกมา ถึงกระนั้นเด็กๆก็ต้องได้รับการเตือนว่า พวกเขาต้องเดินออกไปรับมัน เพราะเธอมองไม่เห็น เด็กๆต้องเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามมารยาทที่เคยชิน เพื่อทำหน้าที่ที่เหมาะสม เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความยากลำบาก ในการสร้างการรับรู้ใหม่ๆ กับสิ่งที่เราไม่เคยประสบมาก่อน เพื่อปฏิบัติตัวให้เหมาะกับสถานการณ์ การที่เราต้องเปลี่ยนทัศนคติเดิมก่อน แล้วจึงเปลี่ยนความเคยชิน จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเป็นกรณีที่เป็นคนป่วยหรือคนพิการ ที่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น การช่วยเหลืออาจมีความซับซ้อนขึ้น เพราะผู้ที่ช่วยก็มีความต้องการของตัวเอง เช่นสุนัขนำทางของหญิงสาวตาบอด ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มันสามารถพาเธอไปได้ทุกหนทุกแห่งที่เธอต้องการไป ในท้องถิ่นนั้น แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เธอต้องพาเจ้าสุนัขตัวนั้นไปหาสัตวแพทย์ เธอรู้ว่าเธอจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นให้ไปกับเธอ เพราะสุนัขของเธอมักจะพาเธอไปที่อื่นแทน อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในช่วงเวลาตึงเครียด เราอาจมีทัศนคติหรือมุมมองแบบต่างๆ ด้านหนึ่งอาจรู้สึกกระตือรือร้น แต่อีกด้านกลับรู้สึกปล่อยวางและผ่อนคลาย ในช่วงเวลาที่รู้สึกกระตือรือร้น เป็นโอกาสดีที่จะช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการที่จำเป็น ในเวลาเช่นนี้ เราจะพบกับความสุขอย่างมากมาย ในการดูแลและให้ความช่วยเหลือ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เราสามารถท่องมนต์ในใจเช่น “ ขอให้คุณปราศจากทุกข์และมีความสุข” เพื่อให้เราเดินหน้าต่อไป เมื่อเราทำทุกสิ่งที่เราสามารถทำได้แล้ว เราสามารถผ่อนคลาย และท่องในใจว่า “ ฉันได้ทำดีที่สุดแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะได้พักบ้าง” ท้ายที่สุด เมื่อเราพบกับความสงบสุข และสามารถไตร่ตรองอย่างถูกวิธี เราอาจคิดได้ว่า “สุดท้าย..ทุกคนก็ต้องจากไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง” เราทุกคนต้องการมีใครสักคนในชีวิต ที่สามารถพูดเช่นนี้ได้ด้วยรอยยิ้ม บ่อยครั้งที่เป็นงานของพระสงฆ์หรือภิกษุณี ที่ถูกฝึกมาเพื่อทำหน้าที่นี้ หลวงพ่อชาเคยพูดว่า “ถ้าคุณปล่อยวางได้น้อย คุณจะมีความสงบสุขเพียงเล็กน้อย ถ้าคุณปล่อยวางได้มาก คุณจะมีความสงบสุขมาก ถ้าคุณปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์ คุณจะมีความสงบสุขที่สมบูรณ์” อันที่จริง การปฏิบัติในอุดมคติ คือการรักษาทัศนคติเหล่านี้ไว้ โดยการกระตือรือร้นภายนอก และผ่อนคลายภายใน เช่นเป็นพยาบาลภายนอก และเก็บความเป็นพระหรือแม่ชีไว้ภายใน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ถ้าเราฝึกตัวเองทั้งสองด้าน หากเราสามารถหาที่พึ่งพิงทางใจ ให้ตัวเองได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ มันก็จะอยู่กับเราตลอดไป อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai |
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|