วันนี้แม่ของอาตมา เล่าเรื่องที่ท่านประสบในซุปเปอร์มาร์เก็ต ในช่วงเวลาที่เขาใกล้จะปิดร้าน ทุกคนดูเหน็ดเหนื่อยและเร่งรีบ เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังอารมณ์เสียอย่างมาก เขาแผดเสียงร้อง พร้อมกับลงไปนอนดิ้นอยู่บนพื้น แม่ของเขาไม่สามารถปลอบใจหรือทำให้เขาสงบลงได้ ขณะที่แม่ของอาตมารอจ่ายเงินอยู่นั้น ท่านเอ่ยกับแคชเชียร์ซึ่งดูเหนื่อยล้าว่า.. "มันคงจะเป็นการดีเหมือนกันนะ ถ้าเราได้ลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น และแผดเสียงร้องออกมาดังๆเช่นนั้นบ้าง" แคชเชียร์สาวหัวเราะ เห็นด้วยกับแม่ของอาตมา ทุกคนในแถวที่รอจ่ายเงินอยู่ ต่างก็ยิ้มออกมา ในเวลาเช่นนี้ อาตมาคิดว่าพวกเราหลายคน คงอยากมีโอกาสปลดปล่อยแบบนั้นบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาล บางทีเราน่าจะจัดห้องไว้ให้พวกเขาห้องหนึ่ง ที่เขาสามารถจะตะโกนระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาได้ แล้วจึงนั่งพัก จิบน้ำชาที่มีคนเสิร์ฟให้ ความจริงก็คือ อะไรที่เกี่ยวกับร่างกายของเรา เรามักจะหาความพอดีกับมันไม่ค่อยได้ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai วันนี้โยมแม่ของอาตมาได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ท่านเคยมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นดาวน์ซินโดรม และต้องการความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ เช่นการแต่งตัวเป็นตัน เธอมักต้องมีคนจูงมือเวลาออกไปข้างนอก โยมแม่ของอาตมา จึงบอกกับเด็กคนอื่นๆ (อายุ 5-6 ขวบ) ว่า พวกเขาสามารถเป็นครูให้เด็กคนนี้ได้ เช่นเดียวกับที่ท่านเป็น ท่านมีวิธีพูดกับเด็กในห้องเรียน จนพวกเขาตื่นเต้นกับการเป็นครูของเด็กคนนั้น และทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว บางที นี่อาจเป็นวิธีที่ทำให้เด็กๆยินดีให้ความร่วมมือในเวลาเช่นนี้ ครั้งหนึ่ง อาตมาอาจจะเคยคิดว่า มันไม่ยุติธรรมที่จะขอให้เด็กแบกรับความรับผิดชอบเช่นนั้น แต่จากการที่ได้อาศัยอยู่ในเอเซีย และได้เห็นการเลี้ยงดูเด็กของคนที่นั่น ทำให้อาตมามีทัศนคติเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กที่ดี ที่ต่างไปจากเดิม ดูเหมือนว่า ถ้าเด็กมีโอกาสได้เติบโต ในขณะที่อายุยังน้อย เขาจะนำความไร้เดียงสา และคุณสมบัติที่ดีแบบเด็กๆ มาสู่ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ด้วย ในภูมิภาคที่ยากจนของเอเซีย เด็กส่วนใหญ่ต้องดูแลปู่ย่าตายาย ขณะที่พ่อแม่ออกไปทำงาน ผู้คนที่มีภูมิหลังเช่นนี้ มักจะเป็นธรรมชาติและมีความร่าเริงในการดูแลผู้อื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai สิ่งหนึ่งที่มักถูกเน้นย้ำเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของโคโรนาไวรัสคือ ความบอบบางและการติดเชื้อได้ง่ายของผู้สูงอายุ แม้ว่าเวลานี้ เราอายุยังน้อยและแข็งแรงดี แต่เป็นโอกาสที่เราจะได้พิจารณาความเป็นจริงว่า สักวันหนึ่ง ถ้าเรามีชีวิตอยู่นานพอ เราจะกลายเป็นคนชราคนหนึ่ง ที่ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผู้สูงอายุเวลานี้ การพิจารณาหลักธรรมข้อนี้อย่างผู้มีปัญญา จะเพิ่มความเห็นอกเห็นใจ และสร้างแรงบันดาลใจในการที่อยากช่วยเหลือ และปกป้องคนในกลุ่มเสี่ยงนี้ให้รอดปลอดภัย การเข้าไปใกล้ชิดผู้สูงอายุ เตือนให้เราตระหนักถึงความรู้และภูมิปัญญาของท่านที่ได้สั่งสมมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราสนับสนุนให้ท่านได้แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ท่านได้ตอบแทนพวกเรา ที่ได้ดูแลช่วยเหลือท่าน ปัจจุบัน เราเคยชินกับการค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ท ซึ่งบางครั้งเราได้คำตอบมากมายที่ไม่เป็นรูปธรรม และอาจนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ตรงกันข้ามกับความรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นของจริง มีคุณค่า และนำไปประยุกต์ดัดแปลงใช้ได้จริง ในยามวิกฤติเช่นนี้ ภูมิปัญญาดังกล่าวอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่พวกเราทุกคน อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai เรากำลังอาศัยอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลอันมหาศาล โลกที่เต็มไปด้วยสถิติต่างๆ เรามักจะพบว่าตัวเองหวาดกลัว หรือตื่นเต้น หลงเชื่อ หวาดระแวงหรือท่วมท้นไปกับข้อมูลต่างๆเหล่านั้น หรือเป็นได้ทั้งหมดที่กล่าวมาในวันเดียวกัน สถิติเหล่านี้ อาจไม่มีความเชื่อมโยงกับเราโดยตรง ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรไตร่ตรองเพื่อนำตัวเรากลับสู่ความเป็นจริง โดยไม่ผูกพันกับตัวเลขพวกนี้ แต่เรากล้าที่จะทำเช่นนั้นหรือ? อันที่จริง เมื่อพิจารณาถึงผู้คนจำนวนมาก ที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาความตาย และแสวงหาความสงบในขณะที่เผชิญหน้ากับความตาย ก็ทำให้เราเห็นข้อดีของการไม่เอาความรู้สึกเข้าไปเกาะเกี่ยว เราสามารถนำวิธีนี้มาปรับใช้เพื่อทำใจให้สงบ จะทำได้อย่างไรหรือ ถ้าตัวเลขการตายมันมากจนท่วมท้นจิตใจ แล้วเรามีศรัทธาในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เราอาจพิจารณาได้ว่า เราเองก็เกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ร่างกายพวกนี้ อาจเคยเป็นของเรา ทำให้เรามีมุมมองที่ต่างไปจากเดิม แทนที่จะรู้สึกเป็นทุกข์กับการตายของผู้คน เราอาจรู้สึกเพิกเฉยและเบื่อหน่ายต่อกระบวนการเกิดแล้วตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า การรับรู้เช่นนี้ ฟังดูอาจไม่สร้างแรงบันดาลใจนัก แต่ถ้ากำลังเผชิญกับความตาย ความเชื่อในการตายแล้วเกิดใหม่ เป็นที่พึ่งทางใจได้ดีกว่าการเชื่อเรื่องการทำลายล้าง สำหรับจิตที่พร้อมที่จะปล่อยวาง การมองเช่นนี้ จะทำให้เราสามารถปล่อยวางความทุกข์ทั้งมวลที่เกี่ยวข้องกับร่างกายได้ทั้งสิ้น และนี่คือการปลดปล่อยอย่างแท้จริง อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ช่วงเวลาวิกฤต เป็นช่วงที่เราอาจตระหนักได้ว่าเรามีพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอย่างชัดเจน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่เราขาดการตระหนักรู้ถึงพระพุทธปัญญา หรือสัจธรรมคำสั่งสอน เราสามารถหันเข้าหาที่พึ่งจากพระสงฆ์ได้ ซึ่งอาจเป็นที่พึ่งเดียวในเวลานั้น ในขณะที่พระสงฆ์และคนในวัดถูกตัดขาดจากญาติพี่น้อง เพราะการปิดพรมแดน พวกเรามีแต่กัลยาณมิตร ที่ร่วมแรงร่วมใจกัน เพื่อช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ การถือเอา“สังฆะ” เป็นที่พึ่ง อาจจะหมายถึงการติดต่อกัลยาณมิตรเพื่อขอความช่วยเหลือและคำแนะนำ หรือหมายถึงการสวดมนต์ แสดงการสักการะบูชาต่อพระรัตนตรัย ในช่วงแรกๆของการปฏิบัติภาวนา มีหลายครั้งที่อาตมารู้สึกหลงทาง มองไม่เห็นหนทางข้างหน้าว่าจะต้องทำอะไรต่อไป แต่การได้จุดธูปเทียนและท่องบทสวดที่คุ้นเคย กลับทำให้อาตมามีที่พึ่งพิง นี่ไม่ใช่การปลอบใจตัวเองอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นการเตือนให้นึกถึงเวลาที่ดีๆ และเตือนให้เพียรปฏิบัติต่อไปโดยไม่ย่อท้อ เมื่อนึกถึงกุศลกรรมที่เคยได้รับจากการปฏิบัติภาวนา เพียงได้กลิ่นธูปจากสถานที่ที่เคยปฏิบัติธรรม หรือจากวัดที่เราชื่นชอบ ก็สามารถพาใจเรากลับไปที่ที่เกิดกุศลจิตนั่นได้อีกครั้ง นี่คือตัวอย่างของสิ่งที่เราสามารถทำได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และนี่คือการถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai เราไม่อาจวางใจในจิตที่ปรุงแต่ง แม้ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด และยิ่งวางใจไม่ได้เลยในยามวิกฤต จิตที่ปรุงแต่งนี้จะเพิ่มมากขึ้นจนทำให้หลงทางอยู่ในความคิดของเราเอง สูญเสียการตระหนักรู้ที่จะช่วยให้จัดการกับสถานการณ์ภายนอกได้ และสิ่งที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือ จิตที่ปรุงแต่งจะพาเราไปทิศทางใดทางหนึ่งเท่านั้น หากเราได้ยินข่าวหรือเรื่องที่แย่กว่าที่เราคิด จิตจะปรุงแต่งไปในทางลบ จนเกิดความหวาดกลัวและเป็นกังวล ในทางตรงข้าม หากเราได้ยินเรื่องที่ดีกว่าที่เราคาดการณ์ จิตจะปรุงแต่งทำให้เราเกิดความหลง มีความมั่นใจสูงจนทำให้เกิดความประมาท และขาดความระมัดระวัง ดังนั้นเราจึงต้องพยายามฝึกสติให้มั่นคงโดยไม่หลงเชื่อในสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากเกินไป แต่คงความตระหนักรู้ถึงความเป็นจริงของสถานการณ์ปัจจุบันให้ถ่องแท้ ความชัดเจนทางความคิด ให้เท่าทันปัจจุบันและความมีสติจากการทำสมาธิควบคู่กันไป จะสามารถควบคุมความหลงของจิตได้ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai อะไรคือการตอบสนองที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ชีวิตของเราถูกคุกคาม? พระพุทธองค์ทรงชี้ทางสว่างให้เราเดินตาม โดยให้เราเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติและปราศจากความกลัว เราจะหลุดพ้นจากภาวะความกลัวนั้นมาได้ ก็ต้องฝึกเจริญสติกรรมฐาน จนถึงขั้นที่จิตสงบและสว่าง อันเป็นสมาธิขั้นสูงถึงระดับที่จิตมีสมาธิที่ตั้งอยู่ได้นาน จนสามารถแยกจิตที่สว่างออกจากกาย หรือที่เรียกว่าสังขารได้ พระอริยสงฆ์และภิกษุณีหลายๆ ท่านที่เป็นที่รู้จักและศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมากมายในประเทศไทย ท่านเหล่านั้นได้เผชิญกับความตายโดยปราศจากความเศร้าหมองและความกังวลใจใดๆ การได้เรียนรู้ความจริงในข้อนี้ ทำให้เรามีศรัทธาและความเพียรในการปฏิบัติ เพื่อเตรียมใจให้พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายโดยไม่หวาดหวั่นหรือเป็นทุกข์เมื่อเวลานั้นมาถึง อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ หากการปฏิบัติทุกอย่างของเราดูเหมือนจะไม่ได้ผล เราต้องทำใจกับมันให้ได้และพยายามต่อไป พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักปล่อยวางและเริ่มต้นใหม่ หากเราทำผิดพลาด เราต้องยอมรับมัน แล้วหาทางที่จะไม่ทำผิดซ้ำอีก เราควรตระหนักถึงข้อจำกัดของเรา ในขณะเดียวกัน หากเป็นไปได้ เราก็ต้องพยายามปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านี้ เราสามารถพูดกับตัวเองว่า “ ไม่เป็นไร ยังมีครั้งต่อไป” เราอาจจำเป็นที่ต้องรีบเข้ามาทำความรู้สึกตัว ก่อนใจที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ตนเองจะเริ่มทำงาน และลากเราให้จมดิ่งลง อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai มันเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นปกติของจิต ที่จะรู้สึกกังวลในเวลาวิกฤตเช่นนี้ แต่แทนที่จะปล่อยให้ความกังวลเพิ่มขึ้นจนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราหยิบยกปัญหาขึ้นมาพิจารณาในเวลาที่มีสติ ความกังวลของเราก็จะกลายเป็นความเอาใจใส่ เราจะทำดังนี้ได้ ใจต้องยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้ในระดับหนึ่ง ยอมรับว่าเป็นกรรมของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าว เพราะเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ การเอาใจใส่ต่อกฏเกณฑ์หรือมีความระมัดระวังในช่วงเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องทำให้รู้สึกอึดอัด เหมือนถูกมัดอยู่ในเสื้อคนบ้า ความระมัดระวังจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ เพราะการควบคุมตนเอง ทำให้รู้สึกสงบและเยือกเย็น ในหมู่สงฆ์ เรามีกฎมากมาย หากเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง สิ่งนี้จะไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ แต่กลับรู้สึกเป็นอิสระ มีอิสระภาพจากภายใน อิสระภาพที่เราเป็นอยู่จริงๆ เป็นอิสระภาพจากตัณหา แต่ความทะยานอยากและผลลัพธ์ที่ตามมาต่างหาก ที่ทำให้เราตกเป็นทาส ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นจากความมีเมตตา อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในยามฉุกเฉิน ทรัพยากรทางการแพทย์และอื่นๆ มักมีจำกัด ในสถานการณ์เช่นนี้ สังคมต้องทำดีที่สุดเพื่อให้ได้มาตรฐานการดูแลผู้คนที่สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในด้านผู้รับ ควรจะต้องยอมรับการดูแลที่เขาสามารถจัดหาให้ได้ นี่เป็นตัวอย่างของทัศนคติการดำเนินชีวิตในทางพุทธศาสนา ที่สอนให้เราทำดีที่สุดและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่มันเป็น หากเราเริ่มต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากร เราก็อาจละเมิดศีลธรรม โดยการเอาของของผู้อื่นมาเป็นของเรา การรักษาศีลของเราในสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่สูงส่งอย่างยิ่ง ความรู้สึกมีศักดิ์ศรี รู้ผิดชอบชั่วดี จะเป็นที่หลบภัยให้เราพ้นจากกิเลสต่างๆ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai |
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|