อาตมาเคยทำงานในโรงพยาบาลและถังแตกอยู่เสมอๆ 7 ปีที่อาตมาอาศัยอยู่ในแฟลต อาตมาไม่รู้จักใครเลย ทุกคนต่างก็สนใจแต่เรื่องของตัวเอง และไม่มีใครได้เคยพูดคุยกับตำรวจ เพราะไม่มีตำรวจมาที่แฟลตนั้นเลย
บางครั้งในฤดูหนาว ลิฟท์ใช้การไม่ได้ คนชราที่อาศัยอยู่ต่างก็คอยให้ช่างมาซ่อมด้วยความอดทน เขาพูดตลกกันเพื่อให้ลืมความหนาว อาตมารู้สึกนับถือพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่เคยพูดกับใครเลย เพราะอาตมารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก สิ่งทั้งหลายที่ได้พบเห็น มันเป็นจริงจนทำให้อาตมาเลิกอยู่กับความคิดที่เป็นอุคมคติ และเริ่มเรียนรู้ว่า อาตมาไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าคนอื่นเลย ความคิดที่ค่อยๆเกิดขึ้นนี้ทำให้อาตมารู้สึกเคารพตัวเองมากขึ้น เมื่ออาตมาบอกแฟนที่ชอบทำตัวหรูหราว่าอาตมามีความคิดเช่นนี้ เขาจากไปทันที เขาอาจจะกำลังหวังอยู่ว่าจะได้อยู่ในที่ที่ดีกว่านี้ แต่อาตมาก็ยังอยู่ต่อที่เดิม อาตมาคงจะไม่ชอบนัก ถ้าถูกตามใจจนเสียนิสัย บางครั้ง อาตมาอยากกลับไปที่แฟลตนั้นอีกเพื่อจะได้รู้สึกไม่มีตัวตนอีกครั้ง แต่ในฐานะพระสงฆ์ อาตมารู้ว่า อาตมาสามารถเป็นคนไม่มี(อัตตา)ตัวตนได้จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงรู้สึกเท่านั้น แม้ว่าอาตมาจะยังมีรูปร่างเหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ก็ตาม อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai “ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด แล้วอะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” อาตมาอยากจะพูดถึงทัศนคติของชาวพุทธที่มีต่อการใช้ชีวิตสัก 2-3 ข้อ เป็นทัศนคติที่เป็นอุบายแห่งชีวิต
ทัศนคติที่ดีที่สุดที่อาตมาเคยเห็น เป็นตัวหนังสือที่แขวนรออาตมาอยู่นิ่งๆ บนต้นไม้ในวัดที่ประเทศไทย เขียนเอาไว้ว่า “ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด” ตัวหนังสือประโยคนี้ถ่ายทอดใจความคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกให้เราทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตตามอุบาย ค้นหาความสุขของตน ความสุขของผู้อื่น ด้วยหนทางแห่งปัญญา แต่ขณะเดียวกันก็จงยอมรับให้ได้ว่า อะไรจะเกิด ก็ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่า เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ โลกนั้นใหญ่กว่าตัวเราเอง มีอะไรอีกหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้ ที่เราทำได้ คือ ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เจตนาที่ดีจะทำให้เราพบกับผลลัพธ์ที่ดีในความคิดและในใจของเราเอง การผนวกสองสิ่งเข้าด้วยกัน คือ การทำให้ดีที่สุด และการยอมรับว่า อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เป็นสิ่งที่ต้องฝึกเป็นขั้นตอนแรกในการเจริญสมาธิ อุบายนี้อาจเกิดขึ้นขณะที่เรากำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะกำหนดจิตของเราให้มีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การพิจารณาลมหายใจเข้าออก เป็นต้น เมื่อจิตของเราไม่อยู่นิ่ง เราก็ต้องใช้ความอดทนในการดึงให้จิตกลับมาที่สมาธิอีกครั้ง การจะทำเช่นนี้ได้ต้องอาศัยความพยายามและการยอมรับให้ได้ว่าอะไรจะเกิดก็ย่อมต้องเกิด เพื่อจิตที่กำลังเตลิดอยู่นั้นจะไม่เป็นทุกข์ยิ่งไปกว่าเดิม เวลาที่จิตเราเตลิดไปนั้น เราต้องไม่คิดโทษตัวเอง เราต้องอดทนและค่อยๆ เริ่มต้นทำสมาธิใหม่อีกครั้ง ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมีในการนำเอาแนวคิดทั้งสองสิ่งนี้มาผนวกกันเป็นทัศนคติที่รู้แจ้งของเราเอง ถ้าเรามีความอดทนในการพยายามให้ถึงที่สุด ก็จะทำให้เราตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันขณะ เมื่อเราไม่รีบร้อน เราก็จะยังอยู่กับปัจจุบันได้ สิ่งนี้เองที่จะช่วยฝึกให้จิตของเรามีสติ และอ่อนโยนลง จนยอมรับได้ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด สำหรับจิตที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย สิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเราพยายามจนถึงที่สุดแล้ว แต่เกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง เราอาจหงุดหงิด เบื่อหน่าย และแล้วในที่สุดเราก็อาจจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ท้ายที่สุดแล้ว เราอาจจะนั่งเจริญสมาธิจนสามารถยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือ การไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ถ้าเราเจริญสมาธิตามวิถีที่ถูกต้อง วิถีแห่งปัญญา เราก็จะสามารถละทิ้งความคาดหวังไปได้ เราจะค่อยๆ ปล่อยวางแต่ขณะเดียวกันก็ยังคงพยายามต่อไป ทุกวันนี้หลายคนอาจสับสนกับคำสอน บ้างก็มุ่งเน้นให้มีความพยายาม บ้างก็ว่าความพยายามไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรือแม้แต่อาจส่งผลในทางตรงข้าม หรือว่าจิตมนุษย์นั้นบริสุทธิ์อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องพยายามอีก ที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามก็มักจะเป็นเพราะคนเหล่านั้นคิดว่าเราอาจใช้ความพยายามโดยปราศจากปัญญา ไม่ใช่ว่าไม่จำเป็นต้องพยายาม เราจำเป็นต้องใช้ความพยายาม แต่ความพยายามนั้นต้องประกอบไปด้วยปัญญา จึงจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีได้ ยังมีที่ให้จิตของเราได้ไปสำรวจอีกมากมาย เป็นที่ที่น่ารื่นรมย์กว่าที่จิตดำรงอยู่ในขณะนี้และเป็นที่ที่คุ้มค่ากับการนำพาจิตให้เดินทางไป เรานำพาจิตของเราได้โดยอาศัยความพยายามและการปล่อยวางในเวลาเดียวกัน สองสิ่งนี้จะไม่ขัดแย้งกันและจะทำงานสอดผสานกันถ้าเรามีความอดทน เมื่อมีความอดทนความพยายามของเราก็จะไม่ไปรบกวนหรือทำให้จิตฟุ้งซ่าน นี่คือสิ่งที่อาตมาเรียกว่าทัศนคติโดยรวมแห่งพุทธที่มีต่อการใช้ชีวิต เป็นทัศนคติง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก เห็นได้จากตัวอย่างในประเทศที่นับถือพุทธศาสนา อย่างเช่น ประเทศไทย ที่คนโดยมากหมั่นทำความดี แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอย่างง่ายๆ การทำความดีไม่จำเป็นต้องจริงจังหรือเสียสละตนเองเสมอไป การทำความดีไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก การใช้ชีวิตไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องไปควบคุมกะเกณฑ์อะไร วัฒนธรรมของชาวพุทธยังยอมรับความคิดหรืออาจจะเป็นความจริงที่ว่า ความสุขบางประเภทอยู่เหนือกว่าความสุขทางประสาทสัมผัส ความเป็นไปทุกอย่างในโลกไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ความสุขสูงสุดในชีวิต เราใช้ชีวิตกับความเป็นไปต่างๆ บนโลก แต่เราไม่ได้แสวงหาวิธีเติมเต็มตัวเราเอง เราทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อให้ชีวิตได้ดำเนินต่อไป เพื่อช่วยให้ผู้อื่นได้ดำเนินชีวิตต่อไป แต่ความสุขสูงสุดของเราอยู่ที่อื่น เป็นความสุขทางจิตที่ให้ค่าความสำคัญกับสิ่งต่างๆ แตกต่างออกไป ความพยายามที่เกิดจากปัญญาในการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดไม่ได้หมายถึง การหาเงินให้ได้มากที่สุด หรือการไปสังสรรค์ตามงานปาร์ตี้ให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่การบ่มเพาะความสุขที่เกิดจากปัญญา ซึ่งเป็นความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai เคยมีคนพูดกับอาตมาว่า เรากำลังอยู่ในยุคของความเจริญทางร่างกาย (Body-Boom) ที่คนทั่วไปให้ความสำคัญกับความสวยความงามภายนอก ว่าเป็นความงามอันแท้จริง เป็นที่ชื่นชม และให้ความรู้สึกที่น่ายินดี ซึ่งในความเป็นจริง มันดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เเต่เราอาจตกเป็นทาสของความหลงตัวเองได้
อาตมานึกถึงผู้หญิงไทยคนหนึ่งที่มาร่วมปฏิบัติธรรมในคอร์สที่อาตมาสอน อาตมาถามว่าอะไรทําให้โยมตัดสินใจมาปฏิบัติ เธอตอบว่า เธอมาเพื่อประหยัดค่าเครื่องสำอางค์ เพราะเวลาที่เธอปฏิบัติธรรม เธอไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเธอไม่สนใจว่าคนจะมองเธออย่างไร นับว่าเป็นการปล่อยวางที่ดียิ่ง เมื่อคอร์สนั้นสิ้นสุดลง เธอกลับดูเปล่งปลั่ง งดงาม มีสง่าราศี บางครั้ง คนเราอาจจะมองเห็นความงดงามอันแท้จริงโดยไม่ยึดติด ได้หลายแบบหลายวิธี แบบของโยมผู้นี้ก็ถือว่าเป็นความงดงามแบบหนึ่ง เพราะในที่สุดแล้ว... "ความงามนั้น ขึ้นอยู่กับสายตาของผู้มอง" อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai |
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|