มันเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นปกติของจิต ที่จะรู้สึกกังวลในเวลาวิกฤตเช่นนี้ แต่แทนที่จะปล่อยให้ความกังวลเพิ่มขึ้นจนไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าเราหยิบยกปัญหาขึ้นมาพิจารณาในเวลาที่มีสติ ความกังวลของเราก็จะกลายเป็นความเอาใจใส่ เราจะทำดังนี้ได้ ใจต้องยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้ในระดับหนึ่ง ยอมรับว่าเป็นกรรมของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับช่วงเวลาดังกล่าว เพราะเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ การเอาใจใส่ต่อกฏเกณฑ์หรือมีความระมัดระวังในช่วงเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องทำให้รู้สึกอึดอัด เหมือนถูกมัดอยู่ในเสื้อคนบ้า ความระมัดระวังจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ เพราะการควบคุมตนเอง ทำให้รู้สึกสงบและเยือกเย็น ในหมู่สงฆ์ เรามีกฎมากมาย หากเรามีทัศนคติที่ถูกต้อง สิ่งนี้จะไม่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ แต่กลับรู้สึกเป็นอิสระ มีอิสระภาพจากภายใน อิสระภาพที่เราเป็นอยู่จริงๆ เป็นอิสระภาพจากตัณหา แต่ความทะยานอยากและผลลัพธ์ที่ตามมาต่างหาก ที่ทำให้เราตกเป็นทาส ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ตั้งขึ้นจากความมีเมตตา อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในยามฉุกเฉิน ทรัพยากรทางการแพทย์และอื่นๆ มักมีจำกัด ในสถานการณ์เช่นนี้ สังคมต้องทำดีที่สุดเพื่อให้ได้มาตรฐานการดูแลผู้คนที่สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในด้านผู้รับ ควรจะต้องยอมรับการดูแลที่เขาสามารถจัดหาให้ได้ นี่เป็นตัวอย่างของทัศนคติการดำเนินชีวิตในทางพุทธศาสนา ที่สอนให้เราทำดีที่สุดและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่มันเป็น หากเราเริ่มต่อสู้กับผู้อื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากร เราก็อาจละเมิดศีลธรรม โดยการเอาของของผู้อื่นมาเป็นของเรา การรักษาศีลของเราในสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นสิ่งที่สูงส่งอย่างยิ่ง ความรู้สึกมีศักดิ์ศรี รู้ผิดชอบชั่วดี จะเป็นที่หลบภัยให้เราพ้นจากกิเลสต่างๆ อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตนี้ สามารถเป็นเครื่องทดสอบศรัทธาความเชื่อของเราได้เป็นอย่างดี ความผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในเวลานี้คือ การเปลี่ยนวิธีปฏิบัติ เพราะความลังเลสงสัย หรือคิดว่าสถานการณ์แบบใหม่ ต้องการบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิม ที่จริงแล้ว สำหรับผู้ปฏิบัติที่ดี การปฏิบัติที่สอดคล้องกับช่วงเวลานี้มากที่สุด คือการพิจารณาความไม่แน่นอนของชีวิต และดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติ หรือปฏิบัติในรูปแบบที่เคยปฏิบัติต่อไป เพื่อรักษาความต่อเนื่อง ช่วงเวลาของวิกฤต อาจเป็นเวลาที่เราต้องการเชื่อในบางสิ่งบางอย่าง มันเป็นการดี ถ้าเราตระหนักรู้ถึงความต้องการนี้ และตั้งความหวังอย่างมีสติ แทนที่จะยึดติดอยู่กับสิ่งที่เป็นเพียงกึ่งความฝัน ซึ่งอาจเกิดจากตัณหาของเราเอง นี่คือตัวอย่างของหลักการสากลในทางปฏิบัติ การเปลี่ยนจากปฏิกิริยาโต้ตอบแบบไร้สติ เป็นการตอบสนองอย่างมีสติ ช่วงเวลาของวิกฤต อาจเป็นช่วงเวลาที่การปฏิบัติส่งผลให้เห็นในที่สุด เมื่อหลายปีก่อน วัดอัมราวดีได้รับการเยี่ยมเยียนจากเจ้าอาวาสของวัดคริสเตียนแห่งหนึ่ง เธอเล่าว่า มีแม่ชีหลายคนที่เต็มไปด้วยความสงสัยตลอดชีวิต แต่ในที่สุด พวกเขาก็ได้รับการเยี่ยมเยียนจากทูตสวรรค์บนเตียงที่เขานอนตาย มีเรื่องราวที่คล้ายคลึงกันมากมายในพระสูตร เกี่ยวกับผู้คนที่ตระหนักถึงธรรมะในช่วงเวลาสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้น จึงมีความหวังสำหรับพวกเราทุกคน อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ต่อเมื่อเราถูกคุกคามด้วยความสูญเสียนั่นแหละ เราจึงมองเห็นความผูกพัน ความยึดมั่นของเรา ช่วงเวลานี้ เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เพราะมันเปิดโอกาสให้เราได้เห็นสิ่งที่เราเอาจิตไปยึดไว้ บ่อยครั้งที่เราเฝ้าดูแล้วกลับไม่พบว่า อะไรเป็นกุญแจสำคัญ แต่เพียงการตรวจสอบเช่นนี้ ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ปล่อยวางได้ เมื่อได้พิจารณารายละเอียดทั้งหมด สิ่งนั้นกลับไม่สามารถมีพลังอำนาจเหนือเรา เมื่อเราเริ่มตระหนักรู้ถึงความผูกพันยึดมั่น เราจะสามารถเฝ้าดูอาการของมันได้ ณ เวลานั้น สิ่งสำคัญก็คือการตระหนักรู้ว่าความผูกพันนั้น จะทำให้เกิดความรู้สึกอย่างไร: คนที่อุทิศตนเพื่อธรรมะอย่างแท้จริง จะเห็นความรู้สึกผูกพัน เป็นเพียงความรู้สึก ซึ่งถือว่าเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่ง ผู้สูงอายุชาวศรีลังกาท่านหนึ่ง เคยเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่เขาขับรถที่เขาไฝ่ฝันเป็นครั้งแรก เขาหยุดรถที่สัญญาณไฟจราจร แต่คนที่ขับรถตามมา มองไม่เห็นไฟแดง จึงขับชนรถใหม่ของเขาอย่างแรง เขาปีนออกมาโดยไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อเห็นว่ารถของเขาถูกชนจนกลายเป็นซาก เขารู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง ทันใดนั้น สิ่งที่ได้จากการฝึกฝนและไตร่ตรองเป็นเวลานาน ทำให้เขาคิดได้ง่ายๆว่า ‘เอ้ย! นี่แหละตัวกู ของกู’ เมื่อคิดได้เช่นนั้น พร้อมกับรู้สึกถึงความโกรธที่น่ากลัวในตัวเขา เขาก็เริ่มปล่อยวางและหัวเราะออกมา ความโกรธของเขาหายไปทันที เขาคิดแต่เพียงว่า เขามีเรื่องเล่าให้เพื่อนชาวพุทธฟัง ถึงความปิติยินดีที่เขาได้รับเมื่อปล่อยวางลง
อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติ เราจะได้รับมุมมองใหม่เกี่ยวกับชีวิต ซึ่งเป็นไปในทางบวก เพราะความกังวลเล็กๆน้อยๆหรือความคับแค้นใจของเราหายวับไปทันที เราพัฒนาความรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณทุกสิ่งที่เราเคยมองข้าม ความเบื่อหน่ายชีวิตหายไปและกลับรู้สึกกระตือรือร้นขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติทางจิตวิญญาณที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนให้เราพัฒนา และนี่คือเหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงฝึกฝนเราให้สะท้อนเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต เพื่อให้เราตื่นตัว มีไหวพริบ อ่อนน้อมและสำนึกคุณ - เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ที่แท้จริง ในเวลาเช่นนี้ มนุษย์สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือวิธีที่ความกดดันจากวิกฤตพัฒนาจิตใจของเราให้มีทั้งความเฉลียวฉลาดและความอ่อนน้อมในเวลาเดียวกัน ความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาของเราคือการปล่อยวางมาตรฐานระดับสูงที่เคยยึดมั่น และหันมายอมรับการประนีประนอมอย่างมีเหตุผล สิ่งนี้ทำให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของมาตรฐานที่เกินกว่าความจำเป็น และนี่คือการค้นพบรูปแบบของการสละแบบหนึ่ง (ซึ่งเราจะเห็นการแสดงออกของการสละอย่างเต็มรูปแบบในหมู่พระสงฆ์) อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai ในโลกยุคใหม่ ธรรมะจะปรากฎเด่นชัดในช่วงที่เกิดวิกฤต พวกเราถูกกล่อมให้หลงผิดไปกับความมั่งคั่ง วิชาความรู้ต่างๆ และความสามารถในการควบคุมโลกใบนี้ ต่อเมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้นั่นแหละ เราจึงตื่นจากความหลง แล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่เตรียมพร้อม และตื่นตระหนก อันที่จริงสิ่งที่เราคิดว่าเราควบคุมได้นั้น ทำได้ก็เพียงชั่วครู่ชั่วยามและมีข้อจำกัด พระพุทธองค์ทรงส่งเสริมให้เราพิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า ไม่มีอะไรที่เป็นตัวกู ของกู เราควบคุมไม่ได้แม้แต่ตัวเอง และทื่สุดของที่สุดคือไม่มีอะไรอยู่ในความควบคุมของเราได้ เรายังคงได้แต่พยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำในสิ่งที่ฉลาดและด้วยความมีเมตตา โดยไม่ลืมคำนึงถึงข้อจำกัดดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงความกังวล หรือการสิ้นเปลืองพลังงานจนเกินเหตุ วิธีที่ใกล้ตัวที่สุด และอาจเป็นวิธีที่ทรงพลังที่สุด คือการเห็นสัจธรรมของความไม่มีตัวตน ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างกายของเรา หากครั้งแรกที่เราเห็นสัจจธรรมนี้ คือเมื่อชีวิตเราถูกคุกคามด้วยโรคร้ายเสียแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่่างยิ่ง เราต้องฝึกให้เห็นด้วยวิธีอื่น ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายๆจะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันตัวเราเอง ดูเด็กที่กำลังหัดเดินซิ ส่ายหัวไปมาพร้อมกับมือและขาที่แกว่งแบบไร้ทิศทาง แต่กลับประคองตัวเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในความเป็นจริง เราสามารถเรียนรู้การใช้กายและจิตนี้ได้ตลอดชีวิตของเรา อาตมาเคยลงเอยด้วยการเขียนหนังสือเกี่ยวกับการทำงานของกายและจิต ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการเรียนรู้ ยิ่งไปกว่านั้น การสังเกตชีวิตในลักษณะนี้ ทำให้มีระยะห่างและมองเห็นความเป็นจริงได้ชัดเจนขึ้น ระยะห่างนี้อาจกลายเป็นที่หลบภัยได้ เพราะเราพบว่าเรากำลังมองสถานการณ์จากภายนอก ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องเชื่อสิ่งใดเลยเพื่อมองให้เห็นได้เช่นนั้น อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ ติดตามคำสอนเพิ่มเติมที่แปลเป็นไทยแล้วได้ที่นี่: www.openthesky.co.uk/thai คำสอนสำคัญของพุทธศาสนาคือความไม่แน่นอนของชีวิต หากเราพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันจะไม่ทำให้เราเสียสมดุล เราจะสามารถใช้สติของเรากับสถานการณ์นี้ได้อย่างดีที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นและเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น อย่างไรก็ตาม หากจิตใจของเรายังไม่พร้อม เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้กังวลจนเกินความจำเป็น หรือเฝ้าตามข่าวอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องสร้างความสมดุลให้กับทุกสิ่ง โดยการมองหาสิ่งที่ทำให้จิตใจเราเบิกบาน จากนั้นเราจะสามารถอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้ได้โดยไม่รู้สึกหดหู่ เราจำเป็นต้องมองความระมัดระวังไปในแง่ดี หรือทำสถานการณ์เช่นนี้ให้ไปในทางบวก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อวานแม่ของอาตมาคุยกับเพื่อนเก่าอายุ 95 ปี ที่ถูกแนะนำให้อยู่แต่ในบ้าน เธอพูดกับแม่อาตมาว่า "ไม่เป็นไร ฉันไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ฉันก็มีความสุขมาก" อาตมาขอเสนอธรรมะนี้เพื่อการเรียนรู้และพิจารณา อาจารย์กัลยาโณ |
พระอาจารย์กัลยาโณ Categories
All
|